'สื่อจีน-ไต้หวัน'หมากในเกมสงครามเย็นสหรัฐ-จีน

'สื่อจีน-ไต้หวัน'หมากในเกมสงครามเย็นสหรัฐ-จีน

สหรัฐและจีน ยังคงเดินเกมทำสงครามเย็นต่อกันอย่างต่อเนื่องขณะที่สหรัฐใกล้จะเปิดหีบเลือกตั้งประธานาธิบดี 3 พ.ย.ท่ามกลางการจับตามองของประชาคมโลกว่าใครจะได้เป็นผู้นำของสหรัฐ ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน

ล่าสุด กระทรวงกลาโหมสหรัฐสร้างความไม่พอใจแก่จีนรอบใหม่ด้วยการบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐได้อนุมัติขายระบบอาวุธ 3 ระบบให้แก่ไต้หวัน ซึ่งรวมถึงเซ็นเซอร์ ขีปนาวุธ และปืนใหญ่ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.8 พันล้านดอลลาร์

การอนุมัตินี้ถือเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลสหรัฐ หลังจากที่สื่อต่างประเทศรายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐกำลังผลักดันแผนการขายยุทโธปกรณ์ที่มีความทันสมัย 5 รายการแก่ไต้หวัน โดยมีมูลค่ารวม 5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากคณะบริหารของทรัมป์ต้องการเพิ่มแรงกดดันจีน ตลอดจนมีความกังวลเกี่ยวกับการรุกรานของจีนต่อไต้หวันเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ สหรัฐยังต้องการให้ไต้หวันเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันตนเอง เมื่อเผชิญกับการเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าวมากขึ้นของจีน

“โรเบิร์ต โอไบรอัน” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ มีความเห็นว่า ขณะนี้จีนอาจยังไม่พร้อมที่จะบุกไต้หวัน แต่ไต้หวันจำเป็นต้องเสริมกำลังให้กับกองทัพเพื่อต่อต้านการโจมตีหรือการดำเนินการอื่นๆ ในอนาคต

แต่สหรัฐ ไม่ได้ทำแค่ขายอาวุธให้ไต้หวัน “ไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กำหนดให้บริษัทสื่อจีนอีก 6 แห่ง เป็นคณะผู้แทนต่างชาติตามกฎหมายและให้ยื่นข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน และทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ในสหรัฐ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากจีน โดยสื่อจีนทั้ง 6 แห่งประกอบด้วยยี่ไช่ โกลบอล (Yicai Global),จี้ฟาง เดลี( Jiefang Daily),ซินหมิน อีเวนนิง นิวส์( Xinmin Evening News), โซเชียล ไซแอนเซส อิน ไชนา เพรสส์ (Social Sciences in China Press) ปักกิ่ง รีวิว (Beijing Review) และอีโคโนมิค เดลี(Economic Daily)

กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ บอกว่า มาตรการนี้เป็นมาตรการแบบเดียวกับที่ประกาศใช้กับสื่อจีน 5 แห่งเมื่อเดือนก.พ.และ 4 แห่งเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยรับรองสถานะบริษัทดังกล่าวเป็นองค์กรโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีน และมีเป้าหมายเพื่อที่จะเพิ่มความโปร่งใสที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และกิจกรรมด้านสื่อของรัฐบาลจีนในสหรัฐ

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐยังระบุด้วยว่า การกำหนดให้สื่อทั้ง 6 แห่งนี้เป็น “คณะผู้แทนต่างชาติ” ตามกฎหมายว่าด้วยคณะผู้แทนต่างชาตินั้น ทำให้สื่อกลุ่มนี้จะต้องแจ้งให้รัฐบาลสหรัฐทราบเกี่ยวกับบุคลากรที่กำลังประจำการอยู่ในสหรัฐ รวมถึงทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน เช่น ข้อมูลการเป็นเจ้าของหรือข้อมูลการเช่า และจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐก่อนที่จะซื้อทรัพย์สินใหม่

ด้านจีนได้ออกมาวิจารณ์การกระทำดังกล่าวของสหรัฐ โดยนายจ้าว ลิเจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า “จีนขอเรียกร้องอย่างจริงจังให้สหรัฐยุติการทำสงครามเย็นและละทิ้งอคติด้านอุดมการณ์ รวมถึงหยุดการกระทำที่สร้างความเสียหายและเป็นอันตรายเหล่านี้ในทันที”

ในส่วนของไต้่หวัน ออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องนี้ทันทีเช่นกัน โดย“เหยิน ตี้-ฟา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไต้หวัน ระบุว่า การซื้ออาวุธจา่กสหรัฐไม่ได้เป็นการแข่งขันสะสมอาวุธกับจีนแต่เป็นเรื่องจำเป็นในการเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ และต้องขอบคุณสหรัฐที่ช่วยให้ไต้หวันได้มีโอกาสพัฒนาขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ เมื่อต้องรับมือกับภัยคุกคามจากศัตรู ตลอดจนสถานการณ์การสู้รบแบบใหม่

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา "ไช่ อิง-เหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ไปร่วมสังเกตการณ์ปฏิบัติการซ้อมรบประจำปีในชื่อรหัส"ฮั่นกวง" ของ 3 เหล่าทัพคือ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกองทัพบก ที่เมืองไท่จง ทางตอนกลางของประเทศโดยการซ้อมรบครั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 - 18 ก.ค. มีกำลังพลเข้าร่วมกว่า 8,000 นาย และมีการฝึกจำลองในสถานการณ์รับมือกับการบุกรุกดินแดนโดยใช้กระสุนจริง ซ้อมการต่อสู้ด้วยเครื่องบิบขับไล่เอฟ 16 และเครื่องบินขับไล่ชิงกัวที่ไต้หวันผลิตเอง รวมทั้งการขับเคลื่อนรถถังในสมรภูมิ ฝึกซ้อมยิงเป้าโจมตีบนชายหาด และยิงขีปนาวุธ

ประธานาธิบดีหญิงของไต้หวันบอกว่าการซ้อมรบใหญ่ครั้งนี้ แสดงให้เห็นแสนยานุภาพของไต้หวันในการปกป้องประชาธิปไตยและเกาะที่จีนแผ่นดินใหญ่กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ แถมย้ำว่าความมั่นคงของชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการโค้งคำนับและการเอาอกเอาใจใคร แต่อยู่ที่ความสามารถในการปกป้องประเทศอย่างแน่นหนา เจ้าหน้าที่และทหารของไต้หวันทุกนายคือแก่นแท้ในการปกปักษ์รักษาชาติ

“ฮั่นกวงเป็นปฏิบัติการใหญ่ประจำปีของกองทัพไต้หวัน เพื่อประเมินพัฒนาการและความสามารถด้านการรบ ที่สำคัญการซ้อมรบครั้งนี้ทำให้โลกได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามปกป้องอธิไตยของไต้หวัน”ไช่ อิง-เหวิน กล่าว