สธ.เผยผลสอบสวนโรคล่าสุด"หนุ่มอินเดียที่กระบี่"ติดโควิด-19
สธ.เผย"หนุ่มอินเดียที่กระบี่"ติดโควิด-19นานแล้ว เป็นไปได้ตั้งแต่1สัปดาห์-3เดือนก่อน หลังเจาะเลือดพบภูมิคุ้มกันขึ้น เร่งตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง79คนใน 4 จังหวัด เชื่อโอกาสแพร่ต่อคนอื่นต่ำเหตุเจอเชื้อปริมาณน้อยมาก
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีพบชายชาวอินเดีย อายุ 37ปี ตรวจเจอติดโควิด19ที่จ.กระบี่ ว่า จากการตรวจเจอเชื้อใน 2 ครั้งแรกพบปริมาณเชื้อน้อยมากๆ บวกกับไม่มีอาการ โอกาสส่วนใหญ่จะแพรเชื้อ่ต่อไปให้คนอื่นจะน้อยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็เจอกรณีเช่นนี้บ่อยขึ้น เช่น ผ่านไปแล้ว 2 เดือนก็ยังตรวจพบเชื้อที่ออกมาเป็นครั้งๆ หรือที่เรียกว่าซากเชื้อ สำหรับกรณีนี้เบื้องต้น ยืนยันมีการติดเชื้อแน่ๆ แต่จะติดที่ไหนอย่างไร ต้องรอข้อมูลอื่นๆประกอบเพิ่มเติม อีกทั้ง ถ้ามีกาตรวจพบภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่แพร่เชื้อต่อให้คนอื่น อย่างไรก็ตาม ได้มีการส่งตัวอย่างเชื้อให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อดูว่าเป็นสายพันธุ์ใด เป็นสายพันธุที่เคยระบาดในประเทศไทยก่อนหน้านี้หรือไม่ด้วยอ าจต้องใช้เวลา 3-5วัน
ด้านพญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กล่าวว่า รายนี้เข้าตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 ครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 พ.ย. โดยไปตรวจที่รพ.กรุงเทพสิริโรจน์ ภูเก็ต พบเชื้อ และส่งยืนยันศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 ตรงกันพบเชื้อ จากนั้นวันที่ 6 พ.ย. ตรวจอีกครั้งที่รพ.กระบี่ ไม่พบเชื้อ ซึ่งก็เป็นไปได้เนื่องจากปริมาณเชื้อที่ตรวจเจอใน2ครั้งแรกนั้นมีปริมาณน้อยมากๆ และได้มีการเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกัน ไม่พบว่า ภูมิคุ้มกันชนิดIgM ที่จะขึ้นหลังมีอากาารประมาณ3-4วัน แต่พบชนิด IgG ขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเคยติดเชื้อมานานก่อนหน้านี้แล้วแต่นานแค่ไหนต้องหาข้อมูลอื่นมาประกอบเพิ่มเติม ซึ่งป็นได้ตั้งแต่ช่วง1-2 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนก่อนหน้านี้ หรืออาจนานกว่านั้น เนื่องจากรายนี้อยู่ในประเทศไทยตลอดตั้งแต่ก.พ. โดยเดินทางไปต่างประเทศล่าสุดไปสิงคโปร์เมื่อปลายเดือนม.ค. รายนี้จึงอาจติดเชื้อมานานแล้ว ก็ต้องสอบสวนโรคเพื่อหาว่าใครเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนำมาตรวจหาเชื้อ ให้รู้ว่ารายนี้ไม่ได้แพร่เชื้อต่อไปให้คนอื่น
สำหรับไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อชาวอินเดีย อายุ 37 ปี จากประวัติผู้ติดเชื้อให้ข้อมูลว่ามีอาการไอวันที่ 2 พ.ย.จึงมีการสอบสวนโรคย้นหลังไป 14 วัน พบว่า ช่วงวันที่19-27 ต.ค.อยู่บนเกาะพีพีตลอด
มีการเดินทางในวันที่ 28 ต.ค. เพื่อไปภูเก็ต ได้พักบ้านน้องชาย 1 คืน จากนั้น29ต.ค. ขับรถส่วนตัวไปภูเก็ต และพบเพื่อนชาวอเมริกัน ไปรับประทานอาหารที่โรงแรม เรากำลังติดตามอยู่ 30ต.ค.ขึ้นเครื่องสายการบินแอร์เอเชีย ไปเชียงใหม่ และไปเที่ยวสถานบันเทิงกับเพื่อนชาวไทย ซึ่งกำลังติดตาม หลังจากนั้นวันที่ 31 ต.ค.เดินทางไปสุโขทัย โดยเช่ารถยนต์ไปกับเพื่อน ไปเที่ยวงานลอยกระทงที่สุโขทัย แต่ที่งานมีมาตรการเข้มงวด และขณะนั้นไม่มีอาการ จึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในงานวันลอยกระทง เข้าพักที่รร.ในสุโขทัย วันที่ 1 พ.ย. กลับเชียงใหม่ วันที่ 2 พ.ย.เดินทางกลับภูเก็ต ขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าพักในป่าตอง ไปห้างสรรพสินค้าในเมืองภูเก็ต และค้างบ้านน้องชาย ที่จ.กระบี่ วันที่ 4 พ.ย.ได้ไปตรวจหาเชื้อเพื่อขอทำ Work Premit และตรวจพบเชื้อ
พญ.วลัยรัตน์ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนโรคโดยติดตามผู้สัมผัสรวม 290 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้สัมผัส เสี่ยงสูง 79 ราย แยกเป็นกลุ่มครอบครัวเดียวกัน 4 ราย คือ ภรรยา น้องชาย น้องสะใภ้ และหลานสาว เบื้องต้น 3 รายไม่พบเชื้อ รอผลอีก 1 รายคือภรรยา กลุ่มผู้สัมผัสในชุมชน 5 รายเป็นเพื่อน 3 ราย เป็นพนักงานโรงแรมและสนามบินที่เชียงใหม่ 2 ราย กลุ่มยานพาหนะ 64 รายเป้นบนเครื่องบิน 45 ราย และเรือเฟอรี่ 19 ราย และกลุ่มในรพ. 6 ราย ซึ่งจะมีการตรวจหาเชื้อทั้งหมด ให้กักตัวเอง14วันและสังเกตอาการป่วย ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 211 ราย โดยจะไม่มีการตรวจหาเชื้อแต่แนะนำให้สังเกตอาการ หากพบว่าป่วยให้ไปรับการรักษาที่รพ.ใกล้บ้าน