'สุพัฒนพงษ์' รีสตาร์ทประเทศ ปี 64 เร่งดึงลงทุนฟื้นเศรษฐกิจ
“สุพัฒนพงษ์” มั่นใจตัวชี้วัดเศรษฐกิจดีขึ้น การบริโภคฟื้น เผยปี 64 เดินหน้าเชิงรุกดึงลงทุน เปลี่ยนประเทศ กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ข้ามชาติ มั่นใจไทยจะกลับมาแบบเข้มแข็งในปี 65 ระบุไม่ต้องห่วงปัญหาสภาพคล่องสถาบันการเงินพร้อมปล่อยสินเชื่อ
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จัดงาน Dinner Talk : Restart Thailand 2021 วานนี้ (17 ธ.ค.) เพื่อนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2564 ของภาครัฐและภาคเอกชน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ขับเคลื่อนประเทศไทย 2021” ว่า ในปี 2563 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โดยการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบมากระทบจนเราตั้งตัวไม่ติด และทำให้พวกเราต้องจำภาพไว้จากเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และในเดือน ธ.ค.นี้ ผลกระทบเราเห็นแล้วว่าประเทศไทยมีการเปราะบางเนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกออกและการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจจึงได้รับผลกระทบมากโดยเฉพาะในรายเล็ก ระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลพยายามปรับตัวเพื่อสร้างความมั่นใจในช่วง 3 เดือน เลื่อนชำระหนี้ไปกว่า 6.8 ล้านล้านบาท 12 ล้านราย ที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐบาลใช้เงินเยียวยาในช่วง 3 เดือนนั้น ไปกว่า 4 แสนล้านบาท และเมื่อรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอีก 4 แสนล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 8 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยาผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจต่างๆ ในช่วง 7 เดือนดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะเรามีความมั่นใจเรื่องการบริโภค ในเรื่องเศรษฐกิจและการระมัดระวังป้องกันร่วมมือกันเป็นอย่างดี แม้จะมีผลกระทบจากการเมืองบ้างก็ตาม
ในขณะที่ดัชนีการเข้าพักโรงแรมได้ปรับตัวดีขึ้นจาก 3% ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมาเป็น 30% ในปัจจุบัน รวมทั้งโครงการคนละครึ่งได้ช่วยเอสเอ็มอี ซึ่งแนวทางเหล่านี้ช่วยประเทศไทย ให้ผ่านวิกฤติไปได้ และได้เห็นรัฐบาลพยายามกระตุ้นสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเปราะบาง เช่น โครงการของ บสย.วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท และวงเงิน 1.5 แสนล้านในเดือน ธ.ค.นี้ และบวกกับสินเชื่อเพิ่มเติมอีก 2 หมื่นล้านบาท
“ผมอยากให้เราจำภาพของความร่วมมือนี้ไว้ว่าความร่วมมือต่างๆทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติมาได้” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
เร่งมาตรการกระตุ้นบริโภค
รวมทั้งที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามออกแบบโครงการต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลได้มีส่วนร่วมกับภาคประชาชนเพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และเป็นการให้ช่วยกันในช่วงที่บางธุรกิจที่เรายังมีบางธุรกิจเช่นท่องเที่ยวได้รับความเดือดร้อน
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ตัวเลขหลายรายการทางเศรษฐกิจวันนี้ดูว่าเราเดินหน้าไปได้ โดยข้อมูลของบลูมเบิร์กให้ไทยเป็นอันดับ 1 ด้านตัวเลขและดัชนีเศรษฐกิจในภาพรวม และเมื่อร่วมกับเศรษฐกิจ รวมกับการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ประเทศไทยเดือดร้อนน้อยกว่าอีกหลายร้อยประเทศ และดีกว่าหลายประเทศยังต้องดิ้นรนในการคุ้มระบาด แต่ยังทำไม่ได้ ซึ่งเราต้องการให้คนไทยไม่ลืมส่วนนี้ที่เราช่วยให้คนไทยมีความสุขและเศรษฐกิจบอบช้ำน้อยมาก
“เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หากอ่านกรุงเทพธุรกิจเรามีความห่วงหลายเรื่องเช่นเศรษฐกิจถดถอยถึง 9-10% การเกิดหนี้ผาหนี้ หรือผิดชำระหนี้ ปต่เมื่อถึงวันนี้เศรษฐกิจถดถอยแค่ 6% และการผิดชำระหนี้ลักษณะเป็นหน้าผาไม่เกิดขึ้น”
สำหรับโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันทำให้เกิดการช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยและผู้ที่เปราะบางกว่าให้ผ่านพ้นวิกฤติในปี 2563 ที่กำลังจะผ่านไปนี้
ดันเทคโนโลยีสร้างธุรกิจใหม่
นอกจากนี้ ภารกิจของความร่วมมือในประเทศไทยยังไม่หมด เราจำเป็นต้องร่วมมือกันต่อเนื่อง เพราะโควิด-19 ยังไม่จบ ต้องร่วมมือกันต่อเนื่อง ในการดึงดูดการลงทุนและปรับตัว ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งในระยะ 6 ปีที่ผ่านมา เราวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน จะมีรถไฟฟ้า 14 สาย ภายใน 4-5 ปี รถไฟเราในกรุงเทพฯ ระยะทาง 500 กว่ากิโลเมตร ถือว่ายาวกว่ากรุงลอนดอน
รวมทั้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีโครงการขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างแล้วเสร็จใน 4-5 ปี ข้างหน้า รวมถึงมีเขตนวัตกรรมภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) และการผลักดันนวัตกรรมและเครื่องมือทันสมัย และห้องแล็ปทันสมัยที่รองรับการลงทุน รวมทั้งดิจิทัลและ 5G ซึ่งได้รับการยืนยันจากประธานหัวเหว่ยว่าเรามีโครงข่ายดิจิทัลที่ดีที่สุดในภูมิภาค เพื่อเอื้อให้เกิดโรโบติกส์ เอไอ และธุรกิจใหม่ในปี 2565
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เรายอมไม่ได้ที่จะให้ประเทศไทยย้อนกลับไปเหมือนเดิมช่วงเกิดโควิด -19 ในเมื่อประเทศไทยมีความพร้อม ดังนั้นรัฐบาลจะปฏิบัติการเชิงรุก ในการหารือกับนักลงทุน หอการค้าต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลร่วมกับบีโอไอและสนำนักงานอีอีซีในการหารือและดึงดูดการลงทุน ต่างประเทศ 5 ประเทศที่ได้เสนอให้ไทยปรับปรุงตามข้อเสนอ 10 for 10 เพื่อยกระดับ Ease of doing business ให้ไทยอยู่ใน1ใน10 ประเทศ
ปี 64 ปีแห่งการเร่งรัดการลงทุน
“ปีหน้าเป็นการดึงดูด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อเปลี่ยนประเทศ เราจะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ที่ลดการพึ่วพาต่างๆประเทศ รัฐบาลจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่เราจะขอให้ภาคธุรกิจ เอกชน เชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ จากความพร้อมที่เรามีอยู่ กรุงเทพจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนตั้งสำนักงานในภูมิภาค ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ จะมีการปรับเช่น การเป็นศุนย์กลางการผลิตรถยนต์ ก้าวไปสู้ยานยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ยาก เมื่อมีแผนแม่บทที่ชัดเจน ”
สำหรับการทำรถไฟฟ้า (EV) เรื่องเดียวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและสร้างอุตสาหกรรมอีกหลายอย่าง เช่น ชิ้นส่วนอัจฉริยะ ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เพราะเราต้องเดินเรื่องนี้เพราะลดการเกิดภาวะเรือนกระจกเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทโลก และเป็นโอกาสของประเทศไทย เช่นการสร้างพลังงานชุมชม โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในลาว
มั่นใจไทยกลับมาเข้มแข็งปี 65
ในปี 2565 เศรษฐกิจจะกลับมาและแข็งแรงกว่าเดิม แต่ในปี 2564 ยังต้องประคองกันแม้จะมีวัคซีน แต่เราก็ต้องใช้เวลาคาดว่าจะประมาณ 6 เดือนกว่าจะตั้งหลักได้ และในครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
“เราไม่ต้องห่วงเรื่อสภาพคล่อง ธนาคารเราแข็งแรง หากทุกคนกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เดี๋ยวภาคธนาคารจะปล่อยสินเชื่อมากเอง ผมเห็นภาพรวมว่าทุกอย่างสร้างสะสมมาตลอด 6 ปี และมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นให้เกิดความสำเร็จในการเปลี่ยนประเทศได้”
ส่วนการลดความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจโดยการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้นเช่น การสร้างแพลตฟอร์มทางเศรษฐกิจให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ที่ผ่านมามีการผ่อนปรนเรื่องของดอกเบี้ยผิดชำระหนี้ และมีการรวมหนี้ของ กยศ.เข้ามาด้วยเพื่อให้มีการผ่อนชำระหนี้ได้มากขึ้น
"ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะร่วมกันสร้างโอกาสให้กับคนตัวเล็ก ในปีหน้าก็จะมีการดูแลคนที่เหลือของประเทศ การแจกเงินอย่างเดียวทำไม่ได้ เพราะงบประมาณยังไงก็ไม่พอ เราต้องสร้างโอกาส สร้างอาชีพใหม่ๆ ที่จะเชื่อมการทำงานของคนต่างๆในสังคมให้ได้มากขึ้น
สำหรับตอนโครงการเราไม่ทิ้งกันมีคนเข้าระบบถึง 27 ล้านคน ซึ่งต้องขอบคุณธนาคารกรุงไทยที่ทำได้และระบบล่มน้อยมาก ทำให้ขยายมาเป็นคนละครึ่งได้ และจะต่อยอดให้เป็นโครงการอื่นที่สร้างการเติบโตเศรษฐกิจได้ในอนาคต
“ประเทศไทยบอบช้ำทางเศรษฐกิจน้อย เราไม่โดนลดเครดิต เรตติ้ง และได้รับการยอมรับในตัวชี้วัดการประเมินเศรษฐกิจและการควบคุมโรคระบาดจากในต่างประเทศ”
ไทยระบาดรอบที่ 2 ไม่ได้
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า เราจะระบาดจนมีการล็อคดาวน์ในรอบ 2 ไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะเราผ่านการล็อกดาวน์มาแล้วและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากและใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควร
สำหรับเรื่องวัคซีนเรา มีการเตรียมไว้แล้ว โดยใช้เงิน 3,000 ล้านบาท ในการเตรียมวัคซีนที่จะให้คนที่อ่อนแอและเปราะบาง และเรามีวัคซีนที่มีโรงงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์จะดีขึ้น ทำให้ปี 2565 จะสร้างเศรษฐกิจไปด้วยกัน หากเราช่วยกันเป็น ประเทศจะเติบโต และดีกว่าเดิม เพราะเราพิสูจน์ตัวเองมาแล้วในช่วงที่เกิดความยากลำบาก เราสร้างปาฏิหาริย์มาแล้ว เราอยู่ในประเทศที่น่าภูมิใจ ที่เราจะสามารถประคับประคองฟื้นฟูและสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต