ศึกอีคอมเมิร์ซจีน Tmall vs JD.com
จับตาศึกอีคอมเมิร์ซจีนระหว่าง Tmall เครืออาลีบาบา และ JD.com เครือ Tencent ใครคือผู้นำตลาด? แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นอะไรบ้าง? พร้อมทำความรู้จักธุรกิจแบบ B2B, B2C และ C2C แตกต่างกันอย่างไร?
Tmall vs JD.com สองผู้เล่นยักษ์ใหญ่ของวงการอีคอมเมิร์ซแบบ B2C ในจีน เพิ่งเปิดศึกกันมาอย่างน่าสนใจ ทั้งสองฝ่ายมีแบ็คอัพรายใหญ่ที่สุดในจีนอย่าง Alibaba และ Tencent หนุนหลัง ผู้สนใจบุกตลาดจีนออนไลน์ โดยเฉพาะแบรนด์ต่างๆ ควรรู้จักกับเว็บอีคอมเมิร์ซ B2C ทั้งสองนี้ไว้ว่า แตกต่างอย่างไร มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง
อีคอมเมิร์ซ B2C : ก่อนอื่นมารู้จักกับคำว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบ B2C (Business-to-Consumer) เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในรูปแบบการทำธุรกิจทางอินเทอร์เน็ตที่จัดได้ว่าผสมผสานข้อเด่นระหว่างการตลาดออนไลน์ และออฟไลน์มาผสานเข้าด้วยกัน คอนเซปต์ คือ การสื่อสารระหว่าง ผู้ผลิต หรือเจ้าของธุรกิจ กับผู้บริโภคตามชื่อเรียกนั่นเอง
สำหรับการขายสินค้า จะมุ่งขายสินค้าให้ผู้บริโภคทั่วไป ผู้ขาย คือ เจ้าของแบรนด์หรือบริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคล เป็นกิจการที่มียี่ห้อสินค้าเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นผู้ค้าอิสระ และต่างไปจากรูปแบบ C2C (Consumer-to-Consumer) ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคหรือใครก็สามารถขายสินค้าได้
ข้อดีที่สำคัญของ B2C คือ มีแบรนด์สินค้า จึงเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้มากกว่า ที่สำคัญ คือ สร้าง Value เพิ่มคุณค่าให้สินค้าได้ ซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ ช่องทางดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมมากในจีน
สินค้าแบบไหนที่นิยม : โดยมากแล้ว กลุ่มสินค้าในข่ายของเว็บ B2C มักเกี่ยวกับ เสื้อผ้า แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ กีฬา ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอาง สกินแคร์ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี เป็นต้น
มูลค่าในตลาดกำลังเพิ่มขึ้น : รายงานจาก CIW ในช่วงก่อนหน้าโควิด-19 ระบุว่า มูลค่ารวมของอีคอมเมิร์ซ B2C ในจีนเวลานี้ กำลังมีมูลค่าขึ้นไปแตะถึงหลัก 2.26 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้การเติบโตของอีคอมเมิร์ซจีนในภาพรวมช่วงสิ้นปี 2019 ก็อยู่ที่ราว 25%
สำหรับภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซและช้อปปิ้งผ่านออนไลน์ในจีนทั้งหมด คาดว่าจะขึ้นไปแตะมูลค่าการตลาดสูงถึง 9.8 ล้านล้านดอลลาร์ คาดเพิ่มเม็ดเงินในตลาดได้อีกประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากปี 2019 ที่ผ่านมา
ใครคือเจ้าตลาด : ปัจจุบันเว็บไซต์ Tmall เครืออาลีบาบา ถือเป็นผู้นำตลาด ตามด้วย JD.com ในอันดับรองลงมา ส่วนอันดับอื่น ๆ เช่น Suning Vipshop และ Gome แต่แค่เฉพาะ Tmall และ JD.com ก็ครองส่วนแบ่งตลาดแล้วมากกว่า 81.9%
ในปี 2019 ที่ผ่านมา B2C ยังเป็นการแข่งขันระหว่างสองเจ้าใหญ่นี้เท่านั้น และเชื่อว่ายังเป็นเช่นนี้อีกในปีถัดไป เนื่องจากแบ็คอัพใหญ่ทั้งสองแพลตฟอร์ม อย่างเช่น Tmall คือยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบา ขณะที่ JD.com ของ Jingdong ยังมีหุ้นส่วนหลักคือ Tencent คอยหนุนหลังด้วย
B2C ปะทะ C2C : มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า เวลานี้กำลังเป็นยุคที่ “ใครก็สามารถขายของออนไลน์ได้” มีจำนวนมากขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งตลาด ซึ่งกลายเป็นว่าคู่แข่งของเหล่าแบรนด์ต่างๆ อาจไม่ใช่แบรนด์ด้วยกันเท่านั้น แต่รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่ขายสินค้าในราคาถูกกว่า จนเกิดเป็นภาวะสงครามตัดราคาขึ้นในเว็บอีคอมเมิร์ซแทบทุกช่องทางในเวลานี้ จากรายงานปี 2019 ที่ผ่านมา พบว่าในจีน ส่วนแบ่ง C2C กำลังรุกเข้าพื้นที่การตลาดออนไลน์มากขึ้น และครองสัดส่วนกว่า 56% ขณะที่สัดส่วน C2C เมื่อปี 2013 มีแค่ 40%
สาเหตุที่ C2C ครองส่วนแบ่งมากขึ้น นอกจากการเข้าถึงเว็บยอดนิยมของ C2C เช่น Taobao เครืออาลีบาบา โดยเปิดให้บริการบุคคลทั่วไปให้ใช้เว็บเพื่อเป็นหน้าร้านตัวเองได้โดยไม่เสียค่าบริการ และใครก็เป็นเจ้าของร้านออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปบริษัท หรือจดทะเบียนนิติบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากการให้บริการแอพพลิเคชั่น C2C ที่เริ่มใช้งานแพร่หลาย เช่น Pinduoduo ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังนิยมในเวลานี้ด้วย
สินค้าไลพ์สไตล์ของแบรนด์ท้องถิ่นกำลังมาแรง : มีข้อมูลว่า กลุ่มสินค้าแนวไลฟ์สไตล์ แฟชั่น เสื้อผ้า และอื่นๆ กำลังได้รับความนิยมมาก ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2013 ที่เคยอยู่ราว 1 แสนล้านหยวน แต่เมื่อถึงปี 2017 กลายเป็น 9.85 แสนล้านหยวน
มีการวิเคราะห์ว่า ตลาดสินค้าประเภทนี้ก้าวกระโดดมาก หลังบริษัท Meituan เปิดแอพพลิเคชั่น Ele.me และ Koubei ซึ่งกลายเป็นบริษัทหน้าใหม่สำหรับแบรนด์สินค้าท้องถิ่นเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองมากก็ คือ “ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก” ซึ่งมีการเติบโตถึง 2.3 ล้านล้านหยวน เมื่อปี 2018 และคาดว่าจะเพิ่มถึง 3 ล้านล้านหยวนในปี 2020
อีคอมเมิร์ซข้ามประเทศ : เป็นอีกรูปแบบที่ต้องจับตาเช่นกัน เมื่อสามารถทำเงินแตะหลัก 1 ล้านล้านหยวนได้ปี 2019 และหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกราว 3 แสนล้านหยวนในปี 2021 อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ตัวเลขต่างๆที่คาดการณ์ไว้อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่สำคัญคือ ช่องทาง B2C จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก