อีไอซี คาดกนง.คงดอกเบี้ย ต่อถึงปีหน้า
อีไอซี คาดกนง.จ่อคงดอกเบี้ยต่อถึงปีหน้า แต่อาจเห็นกนง.ผ่อนปรนมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม เช่นการผ่อนคลอยซอฟท์โลน ธปท.เอื้อปล่อยกู้มากขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ EIC ระบุว่า คาดการณ์ คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อเนื่องในปี 2021 เนื่องจาก 1. แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวแต่เป็นไปอย่างช้า ๆ และไม่ทั่วถึง
รวมถึงยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ และความไม่แน่นอนสูง
โดย กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวเพียง 3.2% และมีความเสี่ยงด้านต่ำอยู่มาก ประกอบกับมุมมองของ EIC ที่ประเมินว่า รอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจจะยังส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากการเปิดกิจการที่น้อยลง การปิดกิจการที่มากขึ้น และภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงเปราะบางจากการว่างงานที่ยังคงสูง ชั่วโมงการทำงานที่ต่ำ และจำนวนแรงงานนอกระบบที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงจะเป็นไปอย่างช้า ๆ
2. ภาระหนี้ของทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นหลังเผชิญวิกฤต โดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 2020 อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.8% ต่อ GDP ขณะที่ข้อมูลของ IIF ก็บ่งชี้ว่าหนี้ภาคธุรกิจปรับสูงขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ในระยะต่อไป ครัวเรือนและธุรกิจจะต้องซ่อมแซมงบดุลที่อ่อนแอลง ส่งผลให้การใช้จ่ายและการลงทุนมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า
ดังนัน ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในระบบเศรษฐกิจ
3.แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำในปี 2021 โดยอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ ณ ระดับต่ำกว่าระดับเป้าหมายต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2021
อย่างไรกีดี ธปท. มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน ผ่านเครื่องมืออื่น ๆ ได้ ดังนี้ ผ่อนคลายเกณฑ์ของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) เพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินปล่อยกู้มากขึ้น โดยในปัจจุบันผู้ที่สามารถเข้าถึงมาตรการสินเชื่อ soft loan มีค่อนข้างต่ำ จากข้อมูลล่าสุดมียอดอนุมัติสินเชื่อเพียง 1.2 แสนล้านบาทจากวงเงินทั้งหมด 5 แสนล้านบาท
โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีวงเงินน้อยมีอัตราการเข้าถึง soft loan ที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ การขยายตัว ของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ยังหดตัว ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถาบันการเงินไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะปล่อยกู้
ดังนั้น ธปท. จึงมีแนวโน้มที่จะออก พ.ร.ก. soft loan ฉบับใหม่เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดของมาตรการเดิม โดยกฏเกณฑ์ที่อาจถูกปรับได้ เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยกู้ จากระดับปัจจุบันที่ 2%การปล่อยกู้ร่วมกับ ธ.พ. ให้แก่ SMEsการขยายวงเงินกู้ จากเดิมที่กู้ได้ไม่เกิน 20% ของยอดสินเชื่อคงค้างการขยายวงเงินค้ำประกันโดย บสย.
ถัดมาคือ คงมาตรการกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) และมาตรการช่วยเหลือกองทุนรวมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน (MFLF) โดยสองมาตราการนี้เป็นมาตรการประเภทหลังพิง (Backstop)
. ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง นอกจากนี้ หากนักลงทุนเกิดความกังวลสูง (panic) จนทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์อย่างรวดเร็วและตลาดการเงินขาดสภาพคล่อง มาตรการข้างต้นนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ทั้งแก่ภาคธุรกิจและกองทุนรวมตราสารหนี้
อย่างไรก็ดี โอกาสในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และดำเนินมาตรการโกดังพักหนี้ (Warehousing) มีน้อยลงภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
โดยจากการสื่อสารของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ยังมีความสามารถที่จะจัดการสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ได้
แม้ว่ายอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพจะปรับสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ธปท. ยังมองว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้ดำเนินไปตั้งแต่ต้นปีช่วยแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า สะท้อนจากยอดหนี้ของธนาคารพาณิชย์ที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้หลังจากมาตรการพักหนี้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมสูงถึง 66% ของยอดหนี้ทั้งหมด
ในขณะที่อีก 32% อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้เป็นรายกรณี และมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่ยังไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่ง ธปท. ได้มีการเร่งรัดให้ธนาคารพาณิชย์ติดต่อดูแลโดยเร็ว
ทั้งนี้หากการระบาดของ COVID-19 ในไทยล่าสุดส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรงกว่าที่ กนง. ประเมินไว้ในรอบนี้ ก็มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลงได้อีก 1 ครั้ง (0.25%)
สำหรับในกรณีฐาน EIC ประเมินว่าการระบาดของ COVID-19 จะยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปิดเมืองอย่างเข้มงวดเหมือนในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มไม่หดตัวรุนแรงเท่ากับในช่วงดังกล่าว
ดังนั้น กนง. จึงน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาขีดความสามารถในการผ่อนคลายนโยบายการเงินไว้ (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจในอนาคตที่อาจมาจากการระบาดที่รุนแรงขึ้น หรือประสิทธิภาพและความสามารถในการแจกจ่ายวัคซีนน้อยกว่าคาด เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากการแพร่ระบาดยังไม่ทุเลาลงและจำเป็นต้องมีการออกมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดขึ้นมากและเป็นวงกว้าง (nation-wide lockdown) ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าฟื้นตัวช้ากว่าที่ กนง. และ EIC ประเมินไว้ในกรณีฐาน ซึ่งอาจทำให้มีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก 1 ครั้ง (0.25%)