นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง ดัน‘หุ้น- บิทคอยน์’พุ่งแรง
ตลาดการเงินเริ่มต้นปี 2564 ได้ไม่กี่วัน ตลาดก็กลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงกันมากขึ้น ซึ่งก็ได้สะท้อนผ่าน แรงซื้อสุทธิ ETF หุ้น ถึง 3.52 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่า เม็ดเงินที่ซื้อ ETF ตราสารหนี้ เพียง 8.4 พันล้านดอลลาร์
แม้ว่าในขณะนี้ ทั่วโลกจะยังคงเผชิญการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงก็ตาม หรือแม้แต่เกิดความวุ่นวายในฝั่งการเมืองสหรัฐ กลับพบว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ “กล้าที่จะเปิดรับความเสี่ยง” อย่างชัดเจน สำหรับปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงนั้น
“พูน พานิชพิบูลย์” นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย มองว่าเป็นผลการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในรัฐจอร์เจียที่ส่งผลให้ พรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และให้ตลาดคาดหวังว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่และช่วยฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้จากการที่ นักลงทุนต่างแห่เข้าไปลงทุนใน ตราสาร ETF หุ้นสหรัฐถึง 2.28 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 65% จากที่ไหลเข้า ETF หุ้นทั้งหมด 3.52 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเน้น หุ้นขนาดเล็ก (ดัชนี Russell 2000) รวมถึงหุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่จะได้รับอานิสงส์ยามที่เศรษฐกิจฟื้นตัว อาทิ หุ้นกลุ่มการเงิน (Financial), พลังงาน (Energy) และ Materials (วัสดุก่อสร้าง) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด (Risk-On) ท่ามกลาง ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่า บอนด์ยีลด์พันธบัตรรัฐบาล หรือ บอนด์ยีลด์หุ้นกู้เอกชน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ ช่วยหนุนให้ ตลาดเลือกที่จะเข้าไปถือ ตราสารทางเลือก อย่างเงินดิจิทัล หรือ Crypto currencies ยอดนิยม เช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) ทำให้ “บิทคอยน์” กลายเป็น สินทรัพย์ที่ปรับตัวได้ ดีที่สุด ในสัปดาห์แรกของปีนี้ โดยราคาปรับตัวขึ้นถึง 32% ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรง จากที่พุ่งขึ้นไปกว่า 300% ในปีที่แล้ว
แม้ว่า “สินทรัพย์เสี่ยง” โดยรวมจะเริ่มต้นปีนี้ด้วยการปรับตัวขึ้น แต่มองว่า นักลงทุนคงจะไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่หวือหวาเช่นในปีที่แล้วได้อีก โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น ที่ไม่ว่าจะมองไปตลาดไหนก็เริ่มจะหาหุ้นที่ไม่แพงได้ยากขึ้น ดังนั้น ระดับราคาหุ้นในปัจจุบัน จึงอาจจะเรียกได้ว่า “ไม่ได้ถูก” จนปลอดภัยไปทั้งหมด
ในปัจจุบันด้วยยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ปรับขึ้นตาม เพราะเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้น มีโอกาสทำให้หุ้นอาจมีความน่าสนใจน้อยลง และอาจเกิดการปรับฐานขึ้นได้
เช่นเดียวกันกับ "สินทรัพย์ทางเลือก" จุดที่ต้องระวังก็คือ การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนที่แท้จริง เพราะหากผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มน่าสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บิทคอยน์ หรือ ทองคำ ก็อาจจะเผชิญแรงเทขายทำกำไรได้ในระยะสั้น
สำหรับในปีนี้จะเป็นปีที่ แม้สินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ทางเลือกมีความน่าสนใจอยู่ แต่ก็อาจเป็นปีที่กลยุทธ์ “Buy and Hold” ทำผลตอบแทนได้ไม่ดี จากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ นักลงทุนจึงควรมีการ “วางแผนรับมือกับสภาวะตลาดและพร้อมปรับพอร์ตให้ทันสถานการณ์อยู่เสมอ”