"กมธ.ตำรวจ" จ่อส่ง 6ข้อเสนอ ถึง "นายกฯ" แก้ปัญหา "เคนมผง"
กมธ.ตำรวจชี้พิษ “เคนมผง” ผสมยาเค-ไดอาซีแกรมเกินขนาดทำเสียชีวิต จี้หน่วยงานทำยุทธศาสตร์ป้องกันปราบปราม พร้อมยื่น 6 ข้อเสนอให้ นายกฯ พิจารณา
นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุม กมธ.ตำรวจ เพื่อพิจารณาความคืบหน้าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีของยาเสพติดเคนมผง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตว่า มีตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน รพ.ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกรมการแพทย์ ชี้แจงและให้ข้อมูลเชิงลึกว่ากรณีดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะเกิดจากส่วนผสมของยาเคและไดอาซีแกรมที่เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่มีปริมาณเกินกว่า 10 กรัม ซึ่งคำว่ายาเคนมผง ยาเคนมข้น และยาเคชาเขียว คือการผสมยาเสพติดที่มีมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไปทำให้มีผลต่อระบบประสาท และมีส่วนผสมของยานอนหลับจึงทำให้ผู้เสพติดเสียชีวิต
นายณัฏฐ์ชนน กล่าวต่อว่า กมธ.ตำรวจมีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีข้อเสนอแนะ 6 ข้อ ดังนี้ 1.ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ปัจจุบันต่างคนต่างทำควรจัดทำยุทธศาสตร์ร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมถึงการฟื้นฟูและบำบัดผู้เสพยาเสพติด , 2.ควบคุมสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เช่น แวเลียมหรือไดอาซีแกรม ซึ่งปัจจุบันมีขายในร้านขายยาแต่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ ขอให้เปลี่ยนเป็นจัดจำหน่ายโดยแพทย์จากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลเท่านั้น, 3.พิจารณากำหนดให้สารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เช่น ไดอาซีแกรมเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่กำหนดให้มีความเข้มงวดมากขึ้น
โฆษก กมธ.การตำรวจ กล่าวด้วยว่า 4.ขอความร่วมมือบริษัทผู้ให้บริการขนส่งพัสดุในการรวบรวมข้อมูลบุคคล และพัสดุในการนำพัสดุมาฝากส่งและรับ เพื่อทางราชการจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบผู้กระทำความผิด 5.ส่งเสริมโครงการครูแดร์โดยให้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษา และ 6.หน่วยงานภาครัฐจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงโทษของวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างต่อเนื่องว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร ทั้งนี้ จะรวบรวมข้อเสนอทั้งหมดส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับทราบต่อไป.