สถาบันยานยนต์ เผย ฟิลิปปินส์ ออกมาตรการกีดกันรถยนต์ไทย
“สถาบันยานยนต์” ชี้ ฟิลิปปินส์ ออกมาตรการขึ้นภาษีกีดกันรถยนต์นำเข้า กระทบส่งออกรถยนต์ของไทย ระบุ ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เฝ้าระวังจับตาผลกระทบจากโควิดรอบ 2 ในไทย และต่างประเทศ ส่งผลต่อการผลิตถึงเดือนมี.ค. 2564
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึง การส่งออกรถยนต์ไปประเทศฟิลิปปินส์ที่อาจต้องเผชิญกับ “มาตรการปกป้อง (Safeguard) การนำเข้ารถยนต์ของฟิลิปปินส์” ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์นำเข้ารถยนต์นั่งและรถกระบะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ทำให้ Philippines Metalwork Alliance (PMA) เรียกร้องต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ดำเนินมาตรการ Safeguard กับการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ และหลังจากการไต่สวนเบื้องต้น รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้กำหนดอากรป้องกันชั่วคราวสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะมูลค่า 1,500 และ 2,300 ดอลลาร์ต่อคัน โดยคาดว่ามาตรการชั่วคราวดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2564 หลังจากนั้น อาจมีการบังคับใช้มาตรการอื่นเพิ่มเติม อาทิ การขึ้นภาษีศุลกากร
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนของฟิลิปปินส์มีความกังวลต่อมาตรการดังกล่าว ว่าจะส่งผลให้ผู้บริโภคต้องซื้อรถยนต์ในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน ยังมีปริมาณการผลิตน้อยกว่าความต้องการของตลาดในประเทศ ทั้งนี้ ไทยส่งออกรถยนต์นั่งและรถกระบะไปยังฟิลิปปินส์มากเป็นอันดับ 3 และ 2 ตามลำดับ ในขณะที่ฟิลิปปินส์พึ่งพาการนำเข้ารถยนต์นั่งและรถกระบะของไทยเป็นอันดับ 2 และ 1 ตามลำดับ
สำหรับ รายงานสถิติอุตสาหกรรมยานยนต์ ประจำเดือน พฤศจิกายน 2563 ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แจ้งว่า ปริมาณการผลิตรถยนต์รถยนต์ในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 172,455 คัน สะสม 11 เดือน 1,284,202 คัน เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 เป็นต้นมา โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
แต่อย่างไรก็ดีระบบเตือนภัยอุตสาหกรรมส่งสัญญาณเฝ้าระวังการผลิตผิดปกติระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 – มีนาคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในสหรัฐอเมริกาและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ระลอกที่ 2 ในทวีปยุโรปและไทย ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ ถึงแม้ว่าตลาดในออสเตรเลียและไทยจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม ทำให้คาดว่าปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งปี 2564 อาจใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,400,000 คัน