สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ฟื้นตัวช้า ส่องจีดีพีโต 3%
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดจีดีพีไทยปี 2564 จะเติบโต 3% โดยการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยมีปัจจัยการเมืองภายในประเทศและความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ต้องจับตา คาดกนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ทั้งปีนี้
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า คาดจีดีพีไทยปี 2564 จะเติบโต3% โดยมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.5 ตลอดทั้งปีนี้ โดยการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยมีปัจจัยการเมืองภายในประเทศและความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ต้องจับตา
“เรามองเศรษฐกิจไทยอย่างระมัดระวัง แต่เราไม่ได้มีภาพลบ โดยเราหวังว่าการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะเป็นผลบวกต่อภาพรวม รัฐบาลไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนฟรีในเดือนหน้า โดยคาดว่าจะฉีดวัคซีนให้กับประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือราว 30 ล้านคนภายในปีนี้ ทั้งนี้จำนวนผู้ได้รับวัคซีนอาจจะมากกว่านั้นเนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนสามารถรองรับความต้องการของผู้ที่มีกำลังซื้อและไม่ต้องการรอวัคซีนจากรัฐบาล” ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว
กำลังซื้อในประเทศอ่อนตัว ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและประเทศไทยยังอยู่ในสถานะเงินบัญชีดุลสะพัดเกินดุล
การส่งออกปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราคาดว่าการค้าการลงทุนทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ แต่ภาพรวมการส่งออกของไทยยังไม่ชัดเจนเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง และการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการนำเข้ารวมน่าจะลดลงต่อเนื่องในปี 2564 ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างช้าๆ และบรรยากาศการลงทุนที่ยังไม่คึกคัก
“เราเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะใช้เวลาประมาณ 5ปีกว่าที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด เนื่องจากสถานการณ์โควิดทั่วโลกยังมีความไม่ชัดเจน ประกอบกับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่มุ่งไปที่ตลาดการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงขึ้น (กระจายกลุ่มมากขึ้น) จากเดิมที่มุ่งไปที่จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นหลัก นอกจากนี้แรงงานในภาคท่องเที่ยวที่มีทักษะสูงขึ้นและการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นประเด็นที่จะมีการพูดถึงมากขึ้น” ดร.ทิม กล่าว
ภาพรวมการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังมีความไม่ชัดเจน ในขณะที่ต้องจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองในปีนี้ นอกจากนี้ หนี้สาธารณะของประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเข้าใกล้เพดานข้อจำกัดในการกู้ ซึ่งจะทำให้การกู้เงินมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทำได้ลำบากขึ้นในปีนี้และปีหน้า
“เงินบาทยังคงแข็งค่าสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค แต่ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอของประเทศ โดยปัจจุบันแกว่งตัวอยู่ในระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเรามีมุมมองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีก เราคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 29.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงกลางปีนี้ และอยู่ที่ 29 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปี” ดร.ทิม กล่าว
“ธปท. น่าจะยังคงกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งขยับจาก 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 มาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ในขณะที่ธปท. พยายามดูแลค่าเงินบาทมาตลอดระยะเวลาหลายปี”
เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ การเมืองต้องมีความต่อเนื่อง
ในระยะกลาง เราเชื่อว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการลงทุนจากต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายการลงทุนมายังประเทศไทยในภาคต่างๆ อาทิเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นตัวแปรสำคัญ
การสานต่อโครงการการลงทุนเมกะโปรเจ็คซึ่งมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยในปี 2563 อาทิเช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศ
อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศและแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติมาในประเทศ ทั้งนี้การลงทุนทางตรงจากต่างชาติยังไม่ได้ฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2558 และยังไม่เห็นว่าประเทศไทยได้ประโยชน์ใดชัดเจนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน