'มาดามเดียร์' ควง 'ภาดาท์' ลงพื้นที่จตุจักร รับฟังปัญหาปมย้ายหมอชิต
"มาดามเดียร์"ควง"ภาดาท์" ลงพื้นที่จตุจักร รับฟังปัญหาปมย้ายหมอชิตรวม "complex" ตั้งคำถามเอื้อประโยชน์เอกชนหรือไม่ แนะดูความเหมาะสมทั้งที่ตั้งและงบประมาณ
น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังลงพื้นที่ร่วมกับ น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม.เขตราชเทวี-พญาไท-จตุจักร เพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน หากมีการย้ายสถานีขนส่งหมอชิต 2 กลับมารวมกับ complex ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งบริเวณสถานีรถไฟฟ้าจตุจักร และมีการสร้างทางยกระดับเชื่อมโทลล์เวย์เข้ามายังโครงการ โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสม งบประมาณที่ใช้ และบุคคลที่จะได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ระบุว่า
การย้ายสถานีขนส่งหมอชิต2 กลับมาที่เดิมนั้นเหมาะสมจริงหรือ?
เมื่อช่วงกลางปี 2563 ตามแผนโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ปรากฏข่าวของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งสามารถปิดดีลกับกรมธนารักษ์เพื่อรับสัมปทานพัฒนาที่ดินเป็นหมอชิตคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ซึ่งโมเดลในการพัฒนาหนึ่งในนั้นคือการมีสถานีขนส่งผู้โดยสารรวมอยู่ด้วย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาระหว่างกรมธนารักษ์และ บขส. ในการพิจารณาย้ายสถานีขนส่งหมอชิตใหม่กลับมายังบริเวณเดิมเพื่อสร้างทราฟฟิคให้โครงการเพราะตามสัญญาการเช่าที่ของหมอชิตปัจจุบันกับ รฟท. กำลังจะหมดสัญญาลงในปี พ.ศ. 2569 แต่หากพิจารณาจากพื้นที่บริเวณโดยรอบระหว่างสถานีขนส่งหมอชิตเก่าและหมอชิตใหม่ ที่ปัจจุบันอยู่ใกล้บริเวณสถานีกลางบางซื่อที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟชานเมือง รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา การขนส่งทางน้ำเพราะอยู่ใกล้สถานีบางโพธิ์ซึ่งเชื่อมต่อกับท่าเรือบางโพธิ์และยังเป็นจุดเชื่อมโยงทางบกระหว่างทางด่วนสายจตุจักร-กาญจนาภิเษก และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังทางด่วนศรีรัชได้อีกด้วย
โครงการสถานีกลางบางซื่อใช้งบประมาณแผ่นดินไปกว่า 34,000 ล้านบาท นั่นยังไม่นับรวมถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ภาคเอกชนลงทุนภายใต้โครงการ PPP ในการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและกระจายความเจริญไปยังภูมิภาค ด้วยงบประมาณการลงทุนดังกล่าวพร้อมทำเลที่ตั้งที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณชุมชนที่อยู่อาศัย แถมรายล้อมด้วยจุดศูนย์กลางคมนาคมขนส่งทุกทางจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่ตั้งบปัจจุบันมีความเหมาะสมกว่าทุกทางในการย้ายสถานีขนส่งกลับมายังที่เก่า (สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต) ที่ปัจจุบันแม้ไม่มีสถานีขนส่งหมอชิตการจราจรโดยรอบห้าแยกลาดพร้าวก็ยังคงติดขัดเป็นอันดับต้นๆของ กทม. แล้วหากย้ายกลับมาจะยิ่งทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
นอกจากนี้ยังระบุว่า งบประมาณการเวนคืนที่ดินของภาครัฐและค่าก่อสร้างทางยกระดับเพื่อเชื่อมต่อโครงการเอกชนมากกว่า 6,000ล้านบาทเหมาะสมหรือไม่? ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศต้องกู้เงินมาเพื่อแก้วิกฤตเยียวยาประชาชาชนที่กำลังเดือดร้อนถ้วนหน้า
เพราะการย้ายสถานีขนส่งหมอชิตกลับมายังจุดเดิมนั้น จะอยู่ในตัวอาคารคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่เอกชนผู้ได้รับสัมปทานจากกรมธนารักษ์กำลังก่อสร้างใหม่จำนวนพื้นที่ 810,000 ตารางเมตร ในขณะที่พื้นที่ที่ บขส. จะใช้ดำเนินการจริงมีเพียง 110,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 13.5% ของพื้นที่โครงการทั้งหมด แต่เพื่อรองรับการจราจรขนส่งที่จะเพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องสร้างทางเชื่อมเข้าตัวอาคารจากทางด่วนดอนเมือง-โทลล์เวย์ จึงเป็นที่มาให้ต้องเวนคืนที่ดินของประชาชนกว่า 60 แปลง ซึ่งรัฐจะต้องใช้งบประมาณในการเวนคืนที่ดินสูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท หากยึดจากการประเมินราคาที่ดินล่าสุดย่านลาดพร้าว ยังไม่นับรวมถึงค่าก่อสร้างทางยกระดับเชื่อมเข้าตัวอาคารจากทางด่วนดอนเมือง-โทลล์เวย์
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้นที่รัฐจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญภาวะวิกฤตเม็ดเงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์ควรถูกนำไปใช้กับเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างปัญหาปากท้องของประชาชน อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมถึงความเดือดร้อนของประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้
นอกจากนี้ การย้ายสถานีขนส่งหมอชิต2 “ประชาชนเสีย-แล้วใครได้ประโยชน์?”
รัฐบาลใช้เงินภาษีประชาชนในการเวนคืนที่ดินและสร้างทางเชื่อมยกระดับจากทางด่วนเพื่อเข้าตัวอาคารที่เป็นของบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเอกชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องเพราะจ่ายแค่ค่าสัมปทานให้รัฐในระยะเวลา 30 ปีเป็นเงินเพียง 784 ล้านบาท ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่หากเรานำไปเปรียบเทียบกับงบประมาณการเวนคืนที่ดินกว่า 6,000 ล้าน นี่ยังไม่นับรวมกับค่าก่อสร้างทางเชื่อมอาคารที่รัฐจะต้องจ่ายเพิ่มอีก
นอกจากนี้หากมองถึงการพัฒนาศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่รัฐวางยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่อเชื่อมโยงทั้งระบบทางราง ทางบก ทางน้ำและทางอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชนแล้วการย้ายสถานีขนส่งหมอชิตใหม่กลับมายังจุดเดิมนอกจากจะย้อนแย้งกับยุทธศาตร์การพัฒนาแล้วยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้ประชาชน ในทางกลับกันหากทำตามข้อเสนอของประชาชนในพื้นที่ที่มองว่าให้นำพื้นที่ดังกล่าวมาพัฒนาเป็นอาคารจอดรถและชอปปิ้งมอลล์ในลักษณะเดียวกับพื้นที่ MRT ใต้ดินเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนที่เดินทางมาจากชานเมืองเพื่อมาเชื่อมต่อรถไฟฟ้า มาเที่ยวตลาดนัดจตุจักร หรือมาทำธุระในบริเวณใกล้เคียงโดยกรมธนารักษ์จัดเก็บค่าเช่าและค่าบริหารจัดการด้วยตนเองก็จะมีเงินเข้ารัฐใกล้เคียงกับค่าสัมปทานจากเอกชน โดยที่รัฐไม่ต้องเสียค่าเวนคืนที่ดิน ค่าก่อสร้างทางเชื่อมยกระดับ แถมยังได้ใจประชาชน ทางเลือกไหนคุ้มค่ามากกว่ากัน?
ขณะที่ น.ส.ภาดาท์ ยืนยันว่า จะยืนเคียงข้างประชาชนในการติดตามและคัดค้านการย้ายสถานีขนส่งนี้ให้ถึงที่สุด เนื่องจากโครงการนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนอีกทั้งยังเป็นการซ้ำเติมการจราจรให้สาหัสมากขึ้น ห้าแยกลาดพร้าวทุกวันนี้รถก็ติดมากพอแล้ว การจะย้ายหมอชิตมารวมกับโครงการก่อสร้าง complex ขนาดใหญ่ยิ่งไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาอะไรเลย
นอกจากนี้ การเวนคืนที่ดินชาวบ้านเพื่อให้ทางยกระดับโทลเวย์ตัดผ่านเข้ามาที่โครงการ ถามว่า ใครได้ประโยชน์ ประชาชนก็คงไม่ได้ใช้ทางยกระดับนี้เพื่อเดินมาหมอชิต แต่เป็นการเอื้อประโยชน์กับเอกชนที่มาลงทุนโครงการ complex นี้หรือไม่ เป็นคำถามที่พวกเราสงสัย แล้วงบประมาณมหาศาลที่ภาครัฐต้องลงทุนในยามที่สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นนี้ รัฐควรเร่งนำเงินมหาศาลนี้ไปดูแลพลิกฟื้น ศก. แทนดีกว่าไหม