‘สุพัฒนพงษ์’ พลิกตำราบริหารเศรษฐกิจแบบวิ่ง 31 ขา หวังดันจีดีพีโต 4%
"สุพัฒนพงษ์" เมินหน่วยงานเศรษฐกิจให้จีดีพีปี 64 ขยายตัวต่ำกว่า 3% ชูความร่วมมือหน่วยงาน เร่งแก้ปัญหาอุปสรรคการลงทุน เปรียบเหมือนวิ่ง 31 ขา เชื่อความมั่นใจต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่ม หวังการท่องเที่ยวในประเทศหนุนการใช้จ่ายยันตั้งเป้าทำงานให้เศรษฐกิจปีนี้โต4%
เข้าสู่เดือนที่ 3 ของปี 2564 ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจในปีนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จึงไม่แปลกที่สำนักเศรษฐกิจต่างๆส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้จะขยายตัวในระดับไม่เกิน 3% เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการฟื้นตัวขอ
หากแต่ในมุมมองของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลภาพรวมของเศรษฐกิจยังคงตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับ 4%
ปัจจัยอะไรที่ทำให้สุพัฒนพงษ์ยังคงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับดังกล่าว และมีแนวทางในการบริหารอย่างไร “กรุงเทพธุรกิจ” จะถอดรหัสจากคำพูดของรองนายกฯเศรษฐกิจที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อเร็วๆนี้ โดยรวบรวมมาให้อ่านโดยละเอียดแบบคำต่อคำ
ผู้สื่อข่าว : คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 1-3% ท่านคิดว่ายังไงบ้าง?
รมว.สุพัฒนพงษ์ : สำหรับตัวผมเองต้องการให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวในระดับ 4% เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายในการทำงานเพราะในปี 2564 ถ้าหากสามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4%ได้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจ -6.1% ก็จะเหลืออยู่แค่ -2% เท่านั้น พอในปี 2565 เศรษฐกิจขยายตัวก็สามารถที่จะฟื้นคืนขึ้นมาสู่ระดับเดิมได้
"ในเรื่องเศรษฐกิจใครเขาจะพูดอะไรก็พูดไปจะบอกว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะโตไม่ถึง 3% ก็เรื่องของเขา เรื่องอะไรผมต้องยอมให้ใครก็ไม่รู้มาบอกว่าเศรษฐกิจจะโตเท่าไหร่ เพราะผมเป็นคนที่เห็นข้อมูลต่างๆมากที่สุด ปลายปีที่แล้วเขาก็พูดกันแบบนี้บอกว่าเราจะแย่ แต่เราต้องไม่ยอมรับ ขอย้ำว่าเป้าทำงานก็ยังอยู่ที่ 4%"
ผู้สื่อข่าว : เศรษฐกิจปีนี้เติบโตได้แบบหักปากกาเซียน?
รมว.สุพัฒนพงษ์: ปีที่แล้วก็หักมาแล้วนี่ แล้วทำไมปีนี้จะหักไม่ได้ ปีนี้เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับคนไทยด้วย เพราะเศรษฐกิจในปี 2564 ยังต้องพึ่งพาการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวของประชาชนในประเทศ โดยรัฐบาลคาดหวังว่าเมื่อมีวัคซีนเข้ามาความเชื่อมั่นของประชาชนจะดีขึ้นจะมีการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวหากเปรียบเทียบกับในปี 2562 ที่คนไทยเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท แต่ปี 2563 คนไทยเที่ยวกันเองใช้จ่ายไป 6 - 7 แสนล้านบาทเท่านั้น หากในปีนี้มีการใช้จ่ายกันในประเทศเพิ่มขึ้นขอขยายตัวแค่การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาทให้ใกล้เคียงกับ 1 ล้านล้านบาทในปี 2562 และหากรวมกับการใช้จ่าย การบริโภค การส่งออกที่จะเพิ่มขึ้นโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีก 1% ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป
ผู้สื่อข่าว : คุยกับทีมงานเรื่องชักจูงการลงทุนแล้วเป็นยังไงบ้างครับ มีอะไรต้องแก้ไขบ้าง?
รมว.สุพัฒนพงษ์: ปัญหาและอุปสรรคที่เจอก็คือเรื่องเดิมๆ พบว่พบว่าปัญหาเดิมของประเทศไทยเป็นเรื่องพื้นพื้นแต่ว่ามีการสะสมของปัญหามาเป็นระยะเวลานานสะสมมานานไม่ได้เป็นปัญหาที่แกเล็กๆหลายเรื่องมีกระบวนการที่ทำอยู่เป็นพันๆขั้นตอน กฎระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคจะให้ความสำคัญกับเรื่องสำคัญที่เป็นการประเมินผลในการประเมินความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Doing Business)
เรื่องนี้ผมจะลงไปกำกับการแก้ไขคู่กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานเรื่องการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ได้ต้นแบบเรื่องสำคัญที่จะผลักดันจากนั้นจะมีการนำต้นแบบที่ได้ไปผลักดันกับหน่วยงานราชการต่างๆ โดยเรื่องสำคัญคือเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง การขอวีซ่าและการต่ออายุสมาร์ทวีซ่าของคนที่ทำงานในไทย ขั้นตอนศุลกากรส่งออกนำเข้าซึ่งต้องปรับปรุงให้รวดเร็วขึ้น ต้องทำงานร่วมกันเหมือนกับการวิ่ง 31 ขา เหมือนเด็กๆที่เอาขาผูกติกัน ผูกขาแล้ววิ่งไปพร้อมกันจะวิ่งได้เร็ว ทำในเรื่องลดกฎระเบียบ ลดภาษี ในธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าว : เรียกได้ว่าเป็นการบริหารเศรษฐกิจแบบวิ่ง 31 ขา ?
รมว.สุพัฒนพงษ์: จะเรียกแบบนั้นก็ได้เพราะขั้นตอนในการทำเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานคล้ายกับการวิ่ง 31 ขาที่เด็กเอาขามาผูกติดกันซึ่งความยากคือความพร้อมเพรียงกันในการเดินหรือวิ่งหากทำได้ก็จะสามารถไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
"การแก้ไขกฎระเบียบอุปสรรคที่เป็นปัญหาต่อการลงทุนไม่ใช่เรื่องที่จะตบมือร่วมกันแต่เป็นเรื่องของการวิ่ง 31 ขาเหมือนเด็กที่วิ่งเอาขามามัดกันนั่นแหละครับเราต้องวิ่งไปพร้อมกันวิ่งให้นานที่สุดอย่าให้ล้มแล้วต้องเร็วด้วยมันเป็นความท้าทาย ถามว่ายากไหมมันก็ยากเพราะมันเยอะมันต้องผูกขาติดกันแล้วทำให้พร้อมกันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความเข้าใจและวัตถุประสงค์เมื่อเข้าถึงเส้นชัยเราจะรู้สึกได้ว่าเราผ่านมาได้สำเร็จ"
ผู้สื่อข่าว : ทำไมเป็นเป็นรองนายกฯเศรษฐกิจต้องมาทำในเรื่องเล็กๆลงรายละเอียด ทำไมไม่ดูแต่ภาพใหญ่?
รมว.สุพัฒนพงษ์ : ก็เพราะว่าภาพใหญ่ของประเทศไทยเราดีแล้ว ภาพใหญ่เรามันเสียตรงไหนผมไม่เห็นประเทศไทยจะเสียตรงไหนเลยโครงสร้างพื้นฐานก็พร้อม ถ้าผมเป็นนักลงทุนผมมีความสุขในการที่จะลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยประเทศไทย เพราะมีปัจจัยต่างๆพร้อมมีท่าเรือ มีถนนมีคนเป็นมิตร คนไทยก็สามารถทำงานด้วยได้ง่าย เราไม่มีสหภาพแรงงานมากนัก
สิ่งที่ต้องคิดคือเราจะทำอย่างไรที่จะใช้จุดแข็งของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้คงต้องมานั่งดูกันทั้งหมดว่าเราสามารถแข่งขันกับคู่แข่งประเทศอื่นๆได้อย่างไร แล้วจะทำยังไงให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศเราได้มากขึ้น เรื่องนี้ต้องทำได้เร็วโดยต้องเปรียบเทียบทั้งกับสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนามด้วย
ผู้สื่อข่าว : ระยะเวลาที่ผ่านมา 6 เดือนให้คะแนนการทำงานตัวเองยังไงบ้างครับ?
รมว.สุพัฒนพงษ์ : ยอมรับว่าที่ผ่านมาผมไปให้ความสำคัญกับการประคับประคองแก้ปัญหาต่างๆมากซึ่งหลังจากนี้ตนจะปิดแล้วในเรื่องของการประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปหารือกันซึ่งก็มีมาตรการและกรอบในการดูแลอยู่แล้ว ส่วนในระยะต่อไปในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจโดยจะเริ่มทำงานในเชิงรุกมากขึ้นในการสร้างโอกาสในการดึงดูดการลงทุน แก้ไขปัญหาที่เป็นจุดอ่อนและอุปสรรคเพื่อดึงดูดการลงทุนเอกชนให้เข้ามามากขึ้น