'JKN' แจงผนึกNEW18 หนุนรายได้-ปั้นคอมเมิร์ซโตยั่งยืน
"JKN" แจงผนึก ดีเอ็น บรอดคาสต์ ผู้บริหารสถานีทีวีดิจิทัลช่อง NEW 18 จัดผังรายการใหม่ นำคอนเทนต์ข่าว-ความบันเทิง ซีรีส์อินเดียออกอากาศ หนุนรายได้พุ่ง เสริมแกร่งธุรกิจคอมเมิร์ซ โตยั่งยืน
นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า จากแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ JKN ในปี 2564 ที่มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น บริษัทฯ มีแผนงานที่ต้องการนำจุดแข็งด้านธุรกิจคอนเทนต์ ไปต่อยอดสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธุรกิจ Commerce เพื่อผลักดันบริษัทก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company อย่างแท้จริง
บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ดีเอ็น บรอดคาสต์ จำกัด หรือทีวีดิจิทัลช่อง NEW 18 ในรูปแบบ Business Model ที่หลากหลาย ร่วมมือกันผลิตรายการข่าว และรายการใหม่ๆ รวมถึงนำรายการต่างๆ ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ JKN ไปออกอากาศทางช่อง NEW 18 ทั้งนี้ในการออกอากาศบริษัทได้คำนึงถึงและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. อย่างเคร่งครัด และยังคงเป็นช่องที่เน้นการให้ข่าวสาร และสาระความรู้เช่นเดิม โดยจะนำรายการข่าวมาออกอากาศรวม 7 ชม.ต่อวัน เช่น รายการเจาะข่าวเช้า ทันข่าวเที่ยง เกาะติดข่าวเย็น รายการ JKNCNBC Tonight รายการลิขสิทธิ์แบรนด์ดังระดับโลก ทั้งสารคดี และความบันเทิงอย่างซีรีส์จีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ เพื่อสร้างฐานผู้ชม และกระแสนิยมในคอนเทนต์ตามมา
โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการตกลงร่วมมือทางธุรกิจในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะทราบความคืบหน้าในเร็วๆ นี้
นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือที่มีหลากหลาย Business Model ที่ผสานจุดแข็งระหว่างกันอย่างลงตัวทั้ง JKN และ ดีเอ็น บรอดคาสต์ เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้แก่การดำเนินงานของ 2 บริษัท โดย JKN จะได้ประโยชน์จากการขยายแพลตฟอร์มการออกอากาศไปสู่ทีวีดิจิทัลจากเดิมที่ออกอากาศผ่านช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งจะส่งผลให้ JKN สามารถหารายได้จากการขายเวลาโฆษณาได้มากขึ้น ขณะที่ช่อง NEW 18 จะได้ฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากผู้ชมที่ต้องการคอนเทนต์ข่าว ซึ่งเป็นรายการคุณภาพในการสร้างฐานผู้ชมทางช่องให้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้การผนึกกำลังร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังช่วยส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ Commerce ในการขยายฐานลูกค้าและสามารถสื่อสารด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มผู้ชมได้โดยตรง หรือ Direct to Consumer (D2C) ผ่านการซื้อเวลาโฆษณาหรือ Tie-in สินค้าในรายการที่ JKN ผลิตขึ้น ซึ่งจะทำให้กลุ่มธุรกิจ Commerce ของ JKN ในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากแผนรุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และจะสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตและสามารถผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น
"ความร่วมมือกันระหว่าง JKN และ NEW 18 ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ธุรกิจที่นำมาซึ่งความสำเร็จกันทั้ง 2 ฝ่ายที่จะได้ประโยชน์ร่วมกัน จากการนำจุดแข็งของ JKN ในด้าน Content ที่มีความหลากหลาย ไปช่วยเสริมสร้างความน่าสนใจในการออกอากาศทางช่อง NEW 18 ที่จะทำให้สถานีได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชมคอข่าวที่มากขึ้น ขณะที่เราก็สามารถขยายฐานกลุ่มผู้ชม จากแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียมไปสู่ทีวีดิจิทัลและยังช่วยส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ Commerce ในการขยายฐานกลุ่มลูกค้าเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายให้แก่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กรต่อไป"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(9 มี.ค.) นางสาวจอมขวัญ คงสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ และในฐานะโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า กรณีที่ ซีอีโอ บริษัทเจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทร่วมมือกับคู่ค้าทำผลิตภัณฑ์กัญชง ซึ่งด้วยความสามารถด้านการตลาดจะทำรายได้มหาศาล เป็นการให้ข่าวที่มีผลต่อราคาหุ้น
ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งหน้าที่กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นด่านหน้าในการทำหน้าที่ Surveillence จะติดต่อ และให้บริษัทชี้แจงหรือปรามในเบื้องต้น และหากมีประเด็นเรื่องปั่นราคา ตลาดหลักทรัพย์จะประสาน กับ ก.ล.ต. เพื่อดำเนินการต่อ
โดยในช่วงเช้าของวานนี้ นาย จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์เฟซบุ๊คผ่านเพจ Anne Jakkrajutatip ว่า ถึงแม้อ่านไม่เข้าใจ...ก็แค่ไปซื้อหุ้นเจเคเอ็นเก็บไว้ก็พอ!!!(แม่บอกแล้วนะ...ปกติไม่เคยเชียร์หุ้นใครเลยด้วยซ้ำ!!) เติมกัญชง+18 โครตรวย
ขณะที่ราคาหุ้น JKN ปิดตลาดวานนี้ที่ 11.40 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 11.76% โดยราคาขึ้นไปสูงสุดของวันที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.70 บาท มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 2,704 ล้านบาท