‘เมืองไทยประกันภัย’ กำไรปี63พุ่ง 38.8% สวนกระแสโควิด
เมืองไทยประกันภัย เผยปี 2563 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 14,725 ล้านบาท เติบโต 10.3% หลังประกันภัยรถยนต์โตแรงและรักษาฐานลูกค้าประกันสุขภาพไว้ได้แม้การแข่งขันสูง พร้อมบริหารต้นทุนแกร่ง หนุนกำไรสุทธิ 590.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.8% แม้เศรษฐกิจชะลอตัวจากโควิด
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ของบริษัทซึ่งมีผลประกอบการเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตเป็นที่น่าพอใจ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 14,725 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2562 คิดเป็น10.3% เป็นผลมาจากกลยุทธ์การกำหนดสัดส่วนผลิตภัณฑ์ระหว่างการประกันภัยรถยนต์และการประกันภัยทั่วไปอย่างเหมาะสม มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับ ที่มีการเติบโตกว่า 13.8%
นอกจากนี้มีงานประกันภัยสุขภาพที่ขยายตัวสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งการประกันอัคคีภัยและประกันภัยทรัพย์สิน ที่ยังเติบโตได้ดีแม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทฯ เน้นนโยบายการรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างดีที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดที่บริษัทฯ มีการเติบโตในสภาวะเช่นนี้ได้นั้น เกิดจากการบริหารจัดการที่ดีสามารถเตรียมความพร้อมรับมือในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี รวมไปถึงการบริหารจัดการด้านประกันภัยต่อ และที่ขาดไม่ได้คือการปรับตัวอย่างรวดเร็วและความร่วมมือของพนักงานเมืองไทยประกันภัยทุกคน
ทั้งนี้ เบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้สำหรับปีมีจำนวน 7,559 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 656 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.50 นอกจากนี้รายได้ค่าจ้างและบำเหน็จก็ยังเพิ่มขึ้น 282.8 ล้านบาท สืบเนื่องมาจากการเอาประกันภัยต่อที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนกำไรและรายได้จากการลงทุนมีจำนวนสูงถึง 375 ล้านบาท ในด้านกำไรสุทธิสำหรับปีของบริษัทมีจำนวน 590.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลกำไรสุทธิของปีก่อน จำนวน 165 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.8 เป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนในการขายและการดำเนินงานให้เหมาะสมและสมดุลกับรายได้ที่เกิดขึ้น
“ในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่าเป็นความยากลำบาก ในการใช้ชีวิต และการทำงานของทุกภาคส่วน แต่นับเป็นข้อดีที่ทำให้เราทุกคนต้องใช้สติในการดำเนินชีวิตทุกด้าน เมืองไทยประกันภัย ได้ใช้โอกาสในห้วงแห่งความยากลำบากนี้บริหารจัดการภายในบริษัทฯ ในทุกๆ ด้านให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพราะหากหยุดนิ่งจะเท่ากับถอยหลังในทันที นี่คือสิ่งที่ย้ำกับผู้บริหารและพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ได้รู้จักและซาบซึ้งกับคำว่า “กำไรทางใจ” เพราะนอกจากจะต้องบริหารงานให้ได้กำไรเพื่อตอบแทนผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ยังได้กำไรทางใจจากการช่วยเหลือสังคมในหลายๆ โครงการอีกด้วย”