'อนุทิน' ยัน สธ.ไม่เคยขวางเอกชนนำเข้าวัคซีน พร้อมเปิดเบื้องหลังทำไมเจรจาวัคซีนถึงล่ม?
"อนุทิน" ยัน สธ.ไม่เคยขวางเอกชนนำเข้าวัคซีน พร้อมเผยเบื้องหลังเจรจาวัคซีนล่ม เหตุติดเงื่อนไขเรื่องการบีบซื้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่มีนโยบายให้เอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือก 10 ล้านโดสว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขยินดีอย่างยิ่ง หากภาคเอกชนจะเข้ามาแบ่งเบาภาระ และที่ผ่านมาได้ให้เอกชนไปหารือกับผู้ผลิต หาวัคซีนมาขึ้นทะเบียน และให้บริการ โดยไม่มีการห้าม ประเทศไทยก็ต้องการมีทางเลือกที่เพิ่มขึ้น หากเอกชนไปหารือกับทางไฟเซอร์สำเร็จ ก็นำมาขึ้นทะเบียนกับ อย.ได้
กระทรวงสาธารณสุขทำทุกทาง เพื่อให้ไทยได้วัคซีนเข้ามาใช้อย่างเหมาะสม เคยพูดคุยกับผู้ผลิตหลายต่อหลายเจ้า ผู้ผลิตพร้อมขึ้นทะเบียนกับไทย แต่มีเงื่อนไขว่าไทยต้องซื้อวัคซีนเท่านี้ จัดส่งได้ตามระยะเวลานี้ ซึ่งไทยไม่ได้ต้องการขนาดนั้น และระยะเวลาการจัดส่งก็อาจจะช้าไปแล้ว การพูดคุยก็ยุติลง แต่ไทยไม่เคยลดละความพยายามที่จะให้ทางผู้ผลิตมาขึ้นทะเบียน
ปัจจุบันไทยขึ้นทะเบียนวัคซีนไป 3 ยี่ห้อ ได้แก่ แอสตราเซนนิกา ซิโนแวค และจอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน ซึ่งแบรนด์ตัวสุดท้ายไทยได้ขอซื้อแล้ว แต่ทางนั้น ส่งวัคซีนได้ช่วงปลายปี ชนกับรอบการผลิตของแอสตราเซนนิกาพอดี ตอนนั้น เราไม่มีความจำเป็นขนาดนั้นแล้ว
สำหรับประเทศไทย แผนการจัดหา วางไว้โดยคำนึงเรื่องของการกลายพนธุ์ของเชื้อด้วย ไทยจึงไม่ซื้อวัคซีนมามากมายมหาศาล แต่เราซื้อให้ทันฉีด ทันใช้ ไม่มีเหลือค้างสต็อกจำนวนมากมาย เพราะเราต้องมีแพลนบี ไว้สำหรับรองรับกรณีเชื้อกลายพันธุ์ ด้วย ไม่ใช่ว่าซื้อวัคซีนมาแล้ว เสียเงินมหาศาล งบหมด ได้วัคซีนมากองกันไว้ แต่ใช้ไม่ได้ เพราะ ไม่ทันกับเชื้อโรค
ส่วนประเด็นเรื่องโรงพยาบาลเอกชนไม่รับตรวจโควิด 19 ตรงนี้ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ปัญหาคือ โรงพยาบาลเอกชน ถ้าตรวจเจอแล้วต้องรักษา จึงกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งภาครัฐได้เข้าไปคุยแล้วว่าจะจัดการตรงนี้ให้ ปัญหาตรงนี้น่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้
สำหรับประชาชน โรงพยาบาลของรัฐยังให้บริการ ขอให้อ่านข่าวอย่างเข้าใจ เพราะบางคนไปตีความแล้วว่าเตียงไม่พอ โรงพยายาลเอกชนไม่รับตรวจ รับรักษา วิกฤติแล้ว ทั้งที่สถานการณ์ไม่ใช่แบบนั้น
การรักษาโรคโควิด-19 ประเทศไทยได้เตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามไว้ ควบคู่กับฮอสพิเทล ซึ่งจะรองรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ แต่หากมีอาการก็ย้ายเข้าไปรักษาโรงพยาบาลที่มีทรัพยากรมากกว่า ขอย้ำว่าประเทศไทยได้เตรียมพร้อมทรัพยากรในการรักษาพยาบาล หากเกิดเหตุฉุกเฉิน และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว
“ตอนนี้มาตรการที่ออกมาก็เข้มขึ้น หวังว่าจะสามารถกดยอดผู้ป่วยลงได้ในเร็ววันนี้ แต่ถึงสถานการณ์จะแย่ลง กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เตรียมการไว้อย่างครบถ้วน ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกัน และบุคลากรด้านการสาธารณสุข แต่ก็ขอให้คนไทยยกการ์ดให้สูง เพราะเชื่อสายพันธุ์อังกฤษนั้นแพร่ได้ง่ายกว่า ขอให้คนไทยระวัดระวังตนเองมากขึ้น”