ลุ้นรัฐอนุมัติโปรเจค ‘หัวหิน รีชาร์จ’ ร่วมดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 ต.ค.นี้
โครงการ “หัวหิน รีชาร์จ” (Hua Hin Recharge) เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ การท่องเที่ยว โรงพยาบาลและสาธารณสุข และภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ ฯลฯ ในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน
คิกออฟโครงการฯตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ของโรคโควิด-19 ภายในประเทศ
เป้าหมายคือผลักดันให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน ขนาด 86.36 ตร.กม. เป็นอีกหนึ่งในพื้นที่นำร่องเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มได้รับวัคซีนครบแล้วและมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบแบบไม่ต้องกักตัว เริ่มวันที่ 1 ต.ค.2564
เช่นเดียวกับอีก 6 พื้นที่นำร่องที่รัฐบาลประกาศโรดแมพเปิดประเทศไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ ภูเก็ต ซึ่งจะเริ่มโครงการแซนด์บ็อกซ์วันที่ 1 ก.ค.นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถอยู่ในพื้นที่โดยไม่ต้องกักตัวอย่างน้อย 7 คืนก่อนออกเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ส่วนอีก 5 พื้นที่นำร่องอย่างกระบี่ พังงา เกาะสมุย ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้
กรด โรจนเสถียร คณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสปาไทย กล่าวในฐานะประธานภาคเอกชนของโครงการหัวหิน รีชาร์จว่า วานนี้ (26 เม.ย.) ได้หารือร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาได้ขอเข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยว เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วให้เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหินได้แบบไม่ต้องกักตัว ภายใต้ชื่อโครงการ “หัวหิน รีชาร์จ”
“สิ่งที่เราต้องการคือขอให้รัฐบาลเร่งจัดสรรวัคซีนจำนวน 353,498 โดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ทำการฉีดแก่บุคลากรในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการซึ่งมีอยู่กว่า 89,880 คนให้ครบ 100% และแก่ประชาชนในเทศบาลเมืองหัวหินให้ถึง 70% ของประชากรทั้งหมด 221,496 คน ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.นี้ เข็มที่ 1 เริ่มฉีดวันที่ 1 มิ.ย.นี้ จำนวน 176,749 โดส เข็มที่ 2 เริ่มฉีดวันที่ 15 ส.ค.นี้ อีกจำนวน 176,749 โดส เพื่อให้ทันตามเป้าหมายเปิดนำร่องวันที่ 1 ต.ค.นี้ โดยทางนายอนุทินรับปากว่าจะพยายามจัดสรรวัคซีนมาฉีดแก่ประชากรในเทศบาลเมืองหัวหินให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ”
สำหรับเหตุผลที่จะต้องเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวของเทศบาลเมืองหัวหิน และต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเนื่องจากเทศบาลเมืองหัวหินเป็นแหล่งพักผ่อนที่สำคัญของชาวกรุงเทพฯและชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางระยะใกล้จากกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาพักอาศัยระยะยาวและกลุ่มผู้เกษียณอายุที่จะมีญาติเดินทางมาเยี่ยมจำนวนมาก โดยปัจจุบันพบว่ามีชาวต่างชาติพำนักอยู่ในเทศบาลฯ 47,128 คน
ขณะเดียวกันเทศบาลเมืองหัวหินยังมีความพร้อมในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ มีความหลากหลายทางด้านการท่องเที่ยว และเป็นเมืองหลวงของโครงการไทยแลนด์ ริเวียร่า พัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก
ทั้งยังมีศักยภาพเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ พัทยา-หัวหิน ทั้งทางน้ำด้วยการนั่งเรือข้ามอ่าวไทยและทางบก หากสามารถเปิดเป็นพื้นที่นำร่องได้พร้อมกัน ทางนายพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวฯรับว่าจะไปหารือเรื่องนี้กับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พร้อมแนะนำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่นำร่องทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยร่วมมือส่งต่อนักท่องเที่ยวแก่กัน ให้เกิดความร่วมมือในวงกว้างและเป็นการปรับตัวตามหน้ามรสุม ซึ่งนับเป็นข้อดีของประเทศไทยที่มีชายฝั่งทะเลสวยงามทั้งสองฝั่ง สามารถสลับฤดูกาลท่องเที่ยวกันได้
นอกจากนี้นายพิพัฒน์ ยังให้คำแนะนำขยายพื้นที่เปิดเมืองไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวโดยรอบหัวหิน ได้แก่ ชะอำ และปราณบุรี เพื่อให้เป็นพื้นที่กันชน ครอบคลุมทั้งการป้องกันการแพร่ระบาดและการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค
และยังได้ให้ความมั่นใจในการจัดสรรวัคซีนสู่พื้นที่ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเป็นลำดับถัดไปในเฟส 2 ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่นำร่องสำคัญในการเปิดประเทศ โดยกรุงเทพฯเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาได้จำนวนมาก เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ส่วนอีก 3 จังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยวในระยะใกล้กรุงเทพฯ ต่อจากภูเก็ตซึ่งอยู่ในการจัดสรรวัคซีนเฟส 1
“ถ้ารัฐบาลเพิ่มเทศบาลเมืองหัวหินเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่อง เบื้องต้นตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1 แสนคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1,200 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ โดยทางนายพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวฯ ได้แจ้งว่าจะนำโครงการหัวหิน รีชาร์จ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ซึ่งมีนายอนุทิน รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานที่ประชุมในวันที่ 6 พ.ค.นี้เพื่อเห็นชอบต่อไป”