กฟผ.ก้าวสู่ปีที่ 53 มุ่งพลังงานสะอาด ขับเคลื่อนสู่สังคมไร้คาร์บอน
“ประธานบอร์ด กฟผ.” มอบนโยบายขับเคลื่อนองค์กรสู่ปีที่ 53 มุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาด เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมไร้คาร์บอนในอนาคต ขยายแนวทางกู้วิกฤตโควิด-19
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปาฐกถาพิเศษเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา กฟผ. ครบรอบ 52 ปี ผ่านระบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2564 โดยมีนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานเข้าร่วมรับฟัง
นายกุลิศ ได้ชื่นชมพนักงาน กฟผ. ที่ทุ่มเททำหน้าที่ในการยืนหยัดรักษาความมั่นคงด้านพลังงานให้มีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เจลและสเปรย์แอลกอฮอล์ ผลิตตู้คตรวจโวิด และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ มอบให้แก่โรงพยาบาลและประชาชน พร้อมทั้งกล่าวถึงภาพรวมทิศทางพลังงานโลกว่า
ปัจจุบันกำลังให้ความสำคัญต่อการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีมาตรการที่ชัดเจนก็จะได้รับผลกระทบทางการค้าจากมาตรการกีดกันในอนาคตอันใกล้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กระทรวงพลังงานต้องกำหนดกรอบนโยบายภายใต้แผนพลังงานชาติ (NEP2022) ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำ เพื่อรองรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 30%
“ก้าวสู่ปีที่ 53 ของ กฟผ. ต้องปรับตัวให้ทันสมัยมุ่งสู่พลังงานสะอาด เดินหน้าสู่สังคมไร้คาร์บอนในอนาคต ตั้งแต่ภารกิจต้นน้ำในการผลิตไฟฟ้าต้องเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด อาทิ การลงทุนโครงการโซลาร์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อนของ กฟผ. โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีชุดที่ 1-2 ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) เพื่อส่งไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรม”
รวมถึง การเดินหน้าธุรกิจซื้อขายและรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certification) ซึ่ง กฟผ. เป็นผู้รับรองใบอนุญาตรายเดียวในประเทศไทยเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้านำไปรับรองคาร์บอนเครดิต
สำหรับภารกิจกลางน้ำในเรื่องระบบส่งไฟฟ้าต้องพัฒนาสู่โครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่สามารถรับซื้อไฟจากพลังงานหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบโดยศูนย์ควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (RE Control Center) ควบคู่กับการติดตั้งแบตเตอรี่ที่สถานีจ่ายไฟฟ้าย่อยเพื่อเสริมความมั่นคง การซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการแก้ไข พ.ร.บ. กฟผ. เพื่อรองรับธุรกิจนำเข้า LNG
ส่วนภารกิจปลายน้ำในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าหลังมิเตอร์รองรับการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่เป็นพลังงานสะอาด ลดปัญหา PM 2.5 ซึ่ง กฟผ. ได้ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) พัฒนาแอพพลิเคชัน นำร่องวินจักรยานยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ กฟผ. เร่งศึกษาธุรกิจภายใต้บริษัทที่ร่วมทุนกับ RATCH และ EGCO ในการต่อยอดนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจเพื่อเดินหน้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่หลากหลาย แสวงหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ด้านนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. มุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาด ทั้งการพัฒนาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ การเดินหน้าสู่ธุรกิจ EGAT EV Business เพื่อตอบโจทย์พลังงานสะอาด แต่การเปลี่ยนผ่านพลังงานในครั้งนี้ไม่สามารถทำได้แบบพลิกฝ่ามือด้วยบริบทของประเทศและข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียน ยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าหลักเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง รวมถึงช่วยรักษาสมดุลค่าไฟฟ้าของประเทศให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ กฟผ. ยังให้ความสำคัญในการดูแลสังคมชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกวิกฤตภายใต้แนวคิด EGAT for ALL กฟผ. เป็นของคนไทยทุกคนและทำเพื่อทุกคน โดยในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 53 กฟผ. และบริษัทในกลุ่ม กฟผ. ได้แก่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตลอดจนพนักงานร่วมบริจาคเงินเพื่อซื้อเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ สำหรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19 รวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท