เบื้องหลัง“หมอ(ไม่)พร้อม” เมื่อ“หมอหนู”ใช้ทีมอาสาฯวางระบบ
“อนุทิน”มอบหมายให้ทีมงาน หามือดีมาช่วยวางระบบแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” แต่ว่ากันว่าไม่ได้ใช้ “มืออาชีพ” มาวางระบบ แต่กลับเป็น “ทีมอาสาสมัคร” มาช่วยงาน จนเกิดคำถามว่างานใหญ่อย่างการฉีดวัคซีนโควิด ควรใช้ผู้เชี่ยวชาญในการวางระบบ-วางแผนงานจะดีกว่าหรือไม่
กระบวนการจัดหา-จัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ที่ล่าช้าจนทำให้คะแนนนิยมของ “รัฐบาล” ลดฮวบ สวนทางกับยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่จากการระบาดระลอก 3 ที่พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว
ต่อด้วยขั้นตอนการฉีดวัคซีนที่วางกรอบให้ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” กำหนดเกณฑ์อายุ กลุ่มเสี่ยง ก่อนกำหนดวันนัดหมายฉีดวัคซีน ซึ่งการวางกรอบไว้หลายขั้นตอนเช่นนี้ เจตนาของ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ที่ถูกเรียกขานว่า “หมอหนู” ต้องการให้ “กลุ่มเสี่ยง” ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน
ในทางทฤษฎีแล้ว ไอเดียของ “อนุทิน” ถือเป็นแนวทาง-แนวปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจริงแล้ว กลับสร้างความไม่พอใจให้ประชาชน เพราะกลายเป็นความล่าช้า จนเกิดกระแสโจมตีไปยังรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่สำคัญการลงทะเบียนแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ถูกกระแสโจมตี จนถูกมองว่า “หมอ(ไม่)พร้อม” เนื่องจากขั้นตอนลงทะเบียนยุ่งยาก ซับซ้อนมากเป็นพิเศษ จากเดิมที่จะนำมาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กลับถูกตั้งคำถามว่าดังว่า “หมอพร้อม” เหมือนจะเพิ่มภาระให้กับประชาชน
เบื้องหลังการวางระบบแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ปล่อยฟรีให้ “อนุทิน” ได้โชว์ผลงาน พร้อมกับเสนอเพิ่มเติมไปว่าควรนำระบบของ “ไทยชนะ” มาช่วยซับพอร์ต แต่เจ้าตัวกลับไม่ตอบรับ อาจเป็นเพราะอนุทินเชื่อว่า ยุคข้อมูลข่าวสาร หากใครมีดาต้าพฤติกรรมของประชาชนอยู่ในมือ ย่อมสามารถนำไปขยายผลได้หลายทาง
“อนุทิน” จึงมอบหมายให้ “ทีมงาน” หามือดีมาช่วยวางระบบแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” แต่ว่ากันว่า งานนี้ไม่ได้ใช้ “มืออาชีพ” มาวางระบบ แต่กลับเป็น “ทีมอาสาสมัคร” มาช่วยงาน จนเกิดคำถามว่างานใหญ่อย่างการฉีดวัคซีนโควิด ควรใช้ผู้เชี่ยวชาญในการวางระบบ-วางแผนงานจะดีกว่าหรือไม่
“หมอพร้อม” ถูกดิสเครดิตอย่างหนัก ทำให้ยอดก่อนลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีนค่อนข้างต่ำมาก จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมียอดเข้าลงทะเบียนจำนวนมาก เมื่อ “หมอ(ไม่)พร้อม” ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบการฉีดวัคซีนในต่างประเทศ ที่แทบไม่ต้องเสียเวลารอ สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตามจุดที่รัฐจัดให้บริการทั่วไป
หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เสียงก่นด่าถูกโยนให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุด จึงสั่งการให้ “อนุทิน” รื้อระบบใหม่ ลดขั้นตอนที่ทำให้เกิดความซับซ้อน สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเตรียมพื้นที่ฉีดวัคซีนทันที
โดยในที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา นายกฯประยุทธ์ ไม่พอใจที่การฉีดวัคซีนค่อนข้างล่าช้า จึงสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขปรับแผน เร่งรัดการฉีดวัคซีน “ผมคิดว่าเราควรเร่งฉีดวัคซีน ขั้นตอนบางอย่างที่ไม่จำเป็นลดลงได้ไหม เราระดมให้คนออกมาฉีดเลยได้หรือไม่ ไม่ต้องกำหนดอายุ หรือกำหนดกลุ่มเสี่ยง เพราะอย่างไรก็ต้องฉีดทุกคน” แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายกฯ
ฝั่งกระทรวงสาธารณสุข “อนุทิน” กลับนิ่งเฉย ไม่อธิบายเหตุผล และส่งเผือกร้อนให้ “สาธิต ปิตุเตชะ” รมช.สาธารณสุข ชี้แจงแทน โดย “สาธิต” อธิบายว่า “เกรงว่าหากวัคซีนไม่เพียงพอจะส่งผลกระทบกับผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง”
ขณะที่ นายกฯ ประยุทธ์ ยืนยันเสียงแข็งว่า ต้องการปรับรูปแบบการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง และรวดเร็วที่สุด เพราะหากช้าจะส่งผลกระทบอย่างมาก แถมยังโดนเฟกนิวส์เล่นงานอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ยังตำหนิถึงปัญหาการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนและสื่อรับรู้การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการแถลงข่าวที่ไร้เอกภาพ กระจัดกระจาย ต่างฝ่ายต่างแถลง โดยให้รวมศูนย์เป็นการแถลงรวมศูนย์ที่ทำเนียบฯ แห่งเดียวเหมือนในช่วงต้นของการระบาดระลอกแรก
หลังสัญญาณเข้มๆ “หมอหนู” จึงต้องแอ็คชั่น สั่งการปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่หมด เปิดให้ประชาชนวอล์กอินเข้าไปฉีดวันซีนในพื้นที่ที่รัฐจัดเตรียมเพื่ออำนวยความสะดวกไว้ให้
เมื่อปรับแผนทันที ภาพที่ถูกสะท้อนออกมากลับกลายเป็นเชิงบวกมากขึ้น บรรยากาศที่ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนเริ่มมีให้เห็นในหลายจุด
หลังจากนี้ ต้องจับตาว่าระบบวัคซีนที่ปรับเปลี่ยนใหม่ จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด จะสามารถเรียกศรัทธาจากประชาชนให้กลับมาเชื่อมั่น “รัฐบาล” ได้มากน้อยแค่ไหน
ว่ากันตรงๆ โควิดระลอก 3 “รัฐบาล-ประยุทธ์-อนุทิน” เสียแต้มเสียคะแนนไปไม่น้อย ความผิดพลาดที่สะสมเป็นระยะ ถูกรวบยอดสะท้อนการบริหารที่ถูกกองแช่งตัดสินไปแล้วว่า “ล้มเหลว”