‘ภูตะวัน’ปั้นแบรนด์‘อินทรี’ ดันเกษตรอินทรีย์ไทยแข่งออแกนิคโลก
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ บ่มเพาะความเชี่ยวชาญมานาน 2 ทศวรรษ แบรนด์ “ภูตะวัน” ได้เวลาต่อยอดความสำเร็จธุรกิจที่เรียกได้ว่าเป็นอีกก้าวใหญ่! มุ่งสร้างคลัสเตอร์เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ และชุมชนเกษตรกรอินทรีย์ไทย หนึ่งในกลยุทธ์สร้างการเติบโต พร้อมเป็นต้นแบบให้เอสเอ
ฉัตรชัย วงศ์มานะโรจน์ศรี ผู้ก่อตั้ง และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ส่วนผสมจากธรรมชาติแบรนด์ “ภูตะวัน” กล่าวว่า วางแนวทางต่อยอดธุรกิจโดยใช้จุดขาย “ธรรมชาติ” เป็นตัวกลางสร้างคลัสเตอร์เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้บริโภค เกษตรกร และ องค์กร ผ่านผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ อินทรี (intree : Organic mountain) สินค้าโดดเด่นด้วยส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติเข้มข้นในปริมาณสูงกว่า 90% โดยใช้วัตถุดิบออแกนิคที่ได้รับการรับรองจาก USDA, ECO-CERT และ สถาบันระดับโลก ทั้งเป็น “Biodegradable” วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้ในแหล่งน้ำ โดยไม่ทำลายประการัง
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ภูตะวัน มุ่งวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตสินค้าจากส่วนผสมธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์ (Organic) ในประเภทต่างๆ นำองค์ความรู้ทางวิชาการถ่ายทอดไปยังชุมชนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้เพาะปลูกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พืชสมุนไพรไทย เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าแบรนด์ภูตะวัน
สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ อินทรี มีแหล่งวัตถุดิบหลัก 2 แห่ง ได้แก่ อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน จากการรวมกลุ่มของชาติพันธุ์ต่างๆ ได้จัดตั้งกลุ่มเกษตรกรชาวไทยภูเขาในชื่อ "กลุ่มเกษตรยิ้มออแกนิค" ร่วมเพาะปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ “ตะไคร้แดง” มีคุณสมบัติพิเศษด้านกลิ่นหอมแรง และความเข้มข้นของน้ำมันในปริมาณที่สูง
อีกแหล่งผลิตวัตถุดิบสำคัญ คือ ทุ่งเริง จ.เชียงใหม่ โดยกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ในพื้นที่แห่งนี้ร่วมปลูกกุหลาบมอญ ราชินีดอกไม้บนดอย ซึ่งปลูกได้ดีที่สุดบนภาคเหนือของประเทศไทย มีคุณค่าจากสารสกัด Rosa Poly Phenal ออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระชะลอความเสื่อมเซลล์ผิว
แบรนด์อินทรี จับลูกค้าเป้าหมายระดับบน โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงอายุ 25-35 ปี มีรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม รักการเดินทางท่องเที่ยว ใส่ใจความสะอาดให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง และชื่นชอบของใช้-สินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ออแกนิค ปัจจุบัน “อินทรี” มีกลุ่มลูกค้าหลักในเมือง 60% และอื่นๆ 40% รวมถึงชาวต่างชาติ
พร้อมกันนี้ บริษัทได้ปันผลกำไร 5% คืนกลับไปยังชุมชนให้นำไปพัฒนาและขยายการเพาะปลูกและทำกิจกรรมพืชออแกนิคของชุมชนบนภูเขา จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่
“เรามุ่งสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์อินทรีในกลุ่มลูกค้าว่าประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกพืชออแกนิคที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ระดับโลก โดยกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ภูเขาของไทยได้รับการส่งเสริมด้านเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน จากรายได้ที่เป็นรูปธรรมจากการนำส่งวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าออแกนิคให้ภูตะวัน”
พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรเอกชนและชุมชน โดยเข้าไปสนับสนุนและเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอื่นๆ ในอนาคต ผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ สร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ “อินทรี บาย ภูตะวัน” เป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างยอดขายที่ยั่งยืนผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ เสริมช่องทางออฟไลน์ และควบคู่กันไปกับแบรนด์ภูตะวัน ทำให้ซัพพลายเชนแข็งแรงยิ่งขึ้น
แบรนด์ “อินทรี” มีสินค้าจำหน่าย 2 กลิ่น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เลมอนกราส ออแกนิค และ กุหลาบมอญ ออแกนิค ประเดิมสินค้าแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์, ชาวเวอร์เจล, บอดี้สครับ, โซฟบาร์ และ ครีมบำรุงผิว ราคา 120-480 บาท กระจายสินค้าใน 18 สาขาของภูตะวัน และช่องทางออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย
ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า แผนธุรกิจ 2 ปี (2564-2565) วาง 4 กลยุทธ์หลัก เริ่มจาก สร้างการเติบโตในช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 200% กลยุทธ์ที่ 2 ลดการขยายสาขาร้าน (ออฟไลน์) พร้อมปรับหน้าร้านเป็นรูปแบบขนาดเล็ก เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเข้าถึงได้สะดวกในทุกที่ และสื่อสารแบรนด์ไปยังร้านค้าพันธมิตรที่มีแนวทางการทำตลาดคล้ายคลึงกันเพื่อขยายตลาด กลยุทธ์ที่ 3 รุกตลาดบีทูบี (B2B) มากขึ้น เพื่อขยายโอกาสธุรกิจในรูปแบบขายปริมาณมาก โดยใช้ความน่าเชื่อถือและเรื่องราว (story) สินค้าและแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนร่วมสื่อสารการตลาด และกลยุทธ์ที่ 4 ขยายตลาดส่งออก ด้วยจุดขายแบรนด์สินค้าไทยที่เกิดจาก “Made From Local Farmer” และเป็นสินค้าจากวัตถุดิบในประเทศไทยอย่างแท้จริง
ภูตะวัน มีหน้าร้านใน 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย ฮ่องกง อุซเบกิส-ถาน ออสเตรีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมส่งออกไปอีกกว่า 17 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย โอมาน คูเวต ออสเตรีย สิงคโปร์ อุชเบกิซสถาน ฮ่องกง รัสเชีย มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ลาว ไต้หวัน บัลกาเรีย และ โปแลนด์
กลยุทธ์เชิงรุก เบื้องต้นจะทำให้บริษัทรักษาระดับการเติบโตเทียบเท่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด ซึ่งมียอดขาย 120 ล้านบาทในปี 2562
ขณะเดียวกัน การเปิดตัวสินค้าแบรนด์ "อินทรี" ในปีนี้ จะมีสัดส่วน 10% เมื่อเทียบกับ เอสเคยู ของสินค้าเดิมที่บริษัทมีอยู่ และจะมียอดขาย 15% ของรายได้ พร้อมอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้