'รีทไทย' ขาขึ้นยิลด์กลับมาที่ 3.3% เท่าก่อนโควิด
“บล.ไทยพาณิชย์” ชี้กองรีทไทยน่าลงทุนช่วงโควิด-19 ผลตอบแทน3.3% กลับมาสูงกว่าหุ้นไทยและรีททั่วโลก "เอไอเอ็ม รีท" เชื่อราคาแลกการ์ด ยังปรับขึ้นได้ใน 3-5ปี ลุ้นกระจายวัคซีนและเปิดประเทศ ลุยเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ดันAUMปีนี้ถึงหมื่นล้านและแตะ2หมื่นล้านในปี65
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันรีทไทยน่าสนใจลงทุน เนื่องจากภาวะตลาดกองรีททั้งไทยและทั่วโลกปรับตัวมาเท่าก่อนโควิด-19 แล้ว โดย ณ 21 พ.ค.2564 แม้ราคารีทไทย ( SET REIT Index) ยังไม่ปรับขึ้นมาก หรือ -29.2% เมื่อเทียบกับSET -1.7% และS&P Global REIT Index -1% เพราะรีทไทยส่วนใหญ่เป็นรีทประเภทโรงแรมและรีเทลที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากโควิด-19
แต่หากพิจารณาเฉพาะ “รีทประเภทอุตสาหกรรม” พบว่า ราคาปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับก่อนโควิด-19 แล้ว เพราะได้รับผลกระทบน้อย มีผลดำเนินงานและอัตราค่าเช่นในระดับที่ดี จากปัจจัยบวกกลุ่มธุรกิจที่ขยายตัว เช่น อีคอมเมิร์ซ ลอจิสติกส์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
ขณะที่ผลตอบแทนของรีทไทยกลับมาที่ระดับ 3.3 % ถือว่า ยังค่อนข้างสูงและสูงกว่า เมื่อเทียบกับSET 0.61% และS&P Global REIT Index 1.51% อีกทั้งเมื่อเทียบกับเงินปันผล ยังสูงกว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากและผลตอบแทนพันธบัตร โดยรีทประเภทอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 1.7% ในไตรมาส1ปี2564
นายธนาเดช โอภาสยานนท์ กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ผลตอบแทนของรีทไทยกลับมาห่างรีททั่วโลกไม่มาก ต่างกันเพียง 1.79% ซึ่งไม่เคยห่างกันขนาดนี้มาก่อน ซึ่งหลายส่วนของรีทไทยยังมีผลกระทบโควิด-19 ที่สูงกว่า จึงแสดงว่า ราคาที่แลกการ์ดราว30% ไม่ได้เป็นที่ปัจจัยพื้นฐานแต่เป็นเพราะฟันด์โฟลว์
ขณะเดียวกันกองรีทยังเป็นอีกช่องทางให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น มีการกระจายตัวในหลายประเภทอุตสาหกรรมของผู้เช่าและมีสัญญาเช่าระยะยาว มีผลตอบแทนที่ดีและราคาไม่หวือหวา
ดังนั้น เชื่อว่า ด้วยการเติบโตของทรัพย์สินจะกลับมาพร้อมราคาที่เพิ่มขึ้นต่อได้ในระยะ 3-5ปีข้างหน้า แต่จะคึกคักเมื่อไหร่ขึ้นกับการกระจายวัคซีนและการเปิดประเทศได้เร็วแค่ไหนจะทำให้ผู้ประกอบการกลับมีผลการดำเนินงานมีกำไร จ่ายค่าเช่าได้ หนุนให้ผลตอบแทนเติบโตต่อเนื่อง
ล่าสุด กองรีท ‘AIMIRT’ เพิ่มทุนครั้งที่ 2 ไม่เกิน2,280 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทิพย์ 5 และโครงการทิพย์ 8 ,โครงการเอ็มเอส แวร์เฮ้าส์ และโครงการไทยแทฟฟิต้า ทุกโครงการมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% หนุนผลตอบแทนในปีแรกที่ 7.50% มีมูลค่าทรัพย์สินแตะ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่7,500 ล้านบาท โดยยังมองหาทรัพย์ใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนต่อเนื่องและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินขยับขึ้นแตะ 20,000 ล้านบาทในปี2565
ส่วนการพิจารณาออกกองทุนรีบายแบคให้กับผู้ลงทุนนั้น มองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะออกกองทุนประเภทดังกล่าว แต่ต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นประโยชน์ต่อทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่และผู้ถือหน่วยหรือไม่ รวทถึงทำให้ผลตอบแทนไม่น้อยไปกว่าเดิม