“ซูเปอร์โพล” เผยปชช.ต้องการให้รัฐบาลทุ่มงบ-อุปกรณ์ให้กับด่านหน้าสู้โควิด พร้อมใช้ค่ายทหารช่วยเหลือผู้ป่วย รวมถึงปรับปรุงการสื่อสาร ส่วนกลุ่มอาชีพ “ค้าขาย-ข้าราชการ” รับผลกระทบหนักสุดจากการระบาดรอบนี้
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “รัฐต้องปรับปรุงอะไร ช่วงโควิด” โดยศึกษาจาก 2,574 กลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-3 ก.ค. พบว่า ร้อยละ 94.2 หนุนเสริมความร่วมมือจิตอาสา งบประมาณ อุปกรณ์ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เช่น แพทย์ พยาบาล อสม. เป็นต้น รองลงมา ร้อยละ 94.1 ใช้ค่ายทหารเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ป่วยและเยียวยาผู้รับผลกระทบจากโควิด-19
ส่วนใหญ่ร้อยละ 92.2 ปรับปรุงการสื่อสารของภาครัฐเพื่อลดความสับสนของประชาชน ร้อยละ 91.6 ส่งเสริมเปิดพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนควบคู่คุมโรคเข้ม เช่น ตลาดสด รถพุ่มพวง การเปิดบริการตลาดเฉพาะจุด และร้อยละ 90.1 เปิดพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะกลุ่มคู่ควบคุมโรคเข้ม ตามเหมาะสมกลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วง คือ ร้อยละ 60.4 ได้รับความเสียหายมากถึงมากที่สุด จากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบนี้ ส่วนร้อยละ 35.7 ได้รับความเสียหายปานกลาง และร้อยละ 3.9 ได้รับความเสียหายน้อยถึงไม่เลย และเมื่อแบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพ พบว่า ค้าขายได้รับผลกระทบมากที่สุดสูงถึงร้อยละ 68.5 รองลงมาเจ้าหน้าที่รัฐร้อยละ 63.3 เกษตรกรร้อยละ 60.9 เอกชนร้อยละ 57.4 และกลุ่มร้บจ้างร้อยละ 53.3
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล เปิดเผยว่า ผลสำรวจพบกลุ่มค้าขายเป็นกลุ่มอาชีพที่รัฐควรให้ความสำคัญเร่งด่วนมีมาตรการเยียวยาเฉพาะ โดยเฉพาะกลุ่มค้าขาย ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบฐานภาษีของรัฐ ส่วนผู้ที่อยู่นอกระบบฐานภาษี ควรได้รับการดูแลระดับรอง เพื่อรองรับผลกระทบในระบบตามความเป็นจริงอย่างเป็นธรรม
ขณะเดียกวัน ควรใช้โอกาสนี้กำหนดมาตรการที่ชัดเจนขึ้น ในการดึงผู้ประกอบนอกระบบเข้าสู่ระบบฐานภาษีอย่างจริงจัง เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งผลสำรวจครั้งนี้ยังพบว่า แม้แต่กลุ่มอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ได้รับความเสียหายมากถึงมากที่สุดในระดับต้น ๆ เช่นกัน โดยคนกลุ่มนี้อยู่ในระบบฐานภาษีทั้งหมดที่ไม่ควรถูกมองข้าม
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาสำคัญมีอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1.รัฐบาลควรนำข้อมูลจากกลุ่มแพทย์และเจ้าหน้าที่รัฐด่านหน้าระดับพื้นที่ มาพิจารณาออกแบบตอบโจทย์ตรงเป้า ตามความต้องการ โดยแก้ให้ตรงจุดแท้จริง 2.กระตุ้นพื้นที่เศรษฐกิจระดับชุมชนฐานราก ใช้การขนส่งภาครัฐและเอกชนเข้าช่วยลำเลียงกระจายผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าอื่นๆ เพื่อช่วยเศรษฐกิจฐานรากมากกว่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และ 3.การสื่อสารภาครัฐมุ่งเน้นสองเรื่อง คือ ปากท้อง และควบคุมโรค ให้เป็นทิศทางเดียวกัน ลดความสับสนของประชาชน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาต่ออำนาจรัฐในเวลานี้