จับตา ‘พัทยา-เชียงใหม่’ ลุ้นเปิดเมือง 1 ก.ย. ภาคธุรกิจหวั่นฉีดวัคซีนไม่เข้าเป้า!
ตามแผน “การเปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัวในระยะแรก พื้นที่นำร่อง “ชลบุรี” กับ “เชียงใหม่” ถูกวางไทม์ไลน์เปิดเมืองในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เท่ากับว่าเหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนเศษในการเตรียมความพร้อมของพื้นที่และผู้ประกอบการ
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังพุ่งสูงทำนิวไฮต่อเนื่อง ชลบุรีถูกจัดอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ขณะที่เชียงใหม่ถูกจัดอยู่ในพื้นที่สีแดง
แต่ภาคธุรกิจโรงแรมยังคงตั้งความหวังว่าจะเปิดพื้นที่นำร่องใน 2 จังหวัดได้ตามไทม์ไลน์ดังกล่าว โดย จ.ชลบุรี ขีดเส้นพื้นที่นำร่องที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง และ อ.สัตหีบ ภายใต้โครงการ “พัทยา มูฟออน” (Pattaya Moves On) ส่วน จ.เชียงใหม่ มี อ.เมืองเชียงใหม่ อ.แม่ริม อ.แม่แตง และ อ.ดอยเต่า ภายใต้โครงการ “ชาร์มมิง เชียงใหม่” (Charming Chiang Mai)
พิสูจน์ แซ่คู นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก กล่าวว่า ลักษณะการดำเนินการของโครงการพัทยา มูฟออน เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วจะเป็นแบบ “ซีลรูท” (Sealed Route) หรือให้ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่กำหนด วางสูตร “3+3+8”
“เดิมโครงการพัทยามูฟออนอยากดำเนินการเหมือนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งอนุญาตให้ท่องเที่ยวภายในภูเก็ตแบบไม่กักตัว หากอยู่ครบ 14 คืน ถึงจะสามารถออกไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทยได้ แต่เมื่อได้ศึกษาแผนงานของโครงการ สมุย พลัส โมเดล ซึ่งมีลักษณะดำเนินโครงการแบบซีลรูทด้วยสูตร 3+4+7 จึงน่าจะเป็นโมเดลที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้มากกว่าสำหรับโครงการพัทยามูฟออน”
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการพัทยามูฟออน เมื่อเดินทางมาถึง ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึง (วันที่ 0-1) และเข้าพักโรงแรมที่เป็นสถานกักกันทางเลือก (Alternative Local Quarantine : ALQ) เท่านั้นในช่วง 6 วันแรก ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 19 แห่ง และผ่านการรับรองเป็น SHA+ Extra
โดยวันที่ 1-3 เมื่อทราบว่าผลตรวจหาเชื้อครั้งแรกเป็นลบ นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนและทำกิจกรรมภายในโรงแรมได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะในห้องพัก จากนั้นวันที่ 4-6 สามารถไปท่องเที่ยวตามเส้นทางและแหล่งท่องเที่ยวที่กำหนด โดยต้องรับการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5-7
เมื่อผลตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 เป็นลบ ก็สามารถท่องเที่ยวในช่วง 8 วันหลังหรือตั้งแต่วันที่ 7-14 โดยเลือกพักโรงแรมที่ได้รับเครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA+ ได้ และสามารถทำกิจกรรมและใช้บริการได้จากสถานประกอบการที่ได้รับมาตรฐาน SHA+ ทั้งนี้ต้องรับการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 11-13 เมื่อพำนักในพื้นที่ครบ 14 วัน ถึงจะสามารถเดินทางออกนอกเส้นทางและไปยังพื้นที่อื่นในไทยได้
“ทั้งนี้โครงการพัทยามูฟออนต้องการวัคซีน 9 แสนโดสสำหรับฉีดให้ประชากร 4.5 แสนคนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่จากการประชุมร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี (สสจ.ชลบุรี) พบว่าเพิ่งฉีดวัคซีนได้เพียงไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ และเมื่อประเมินแล้ววัคซีนไม่น่าจะมาทัน ตอนนี้เรากำลังต่อรองกับทางจังหวัดชลบุรีว่าขอวัคซีนแก่พนักงานของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัทยามูฟออน ซึ่งคาดว่าต้องใช้วัคซีน 5-6 หมื่นโดส โดยทาง สสจ.ชลบุรี มองว่ามีความเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถเปิดเมืองพัทยาได้ทันในเดือน ก.ย.นี้”
ด้านละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ มีแผนจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วในเดือน ก.ย.นี้เช่นกัน แต่ปัจจุบันถูกกำหนดเป็นพื้นที่สีแดง และจำนวนประชากรที่ฉีดวัคซีนแล้วมีเพียง 18% เท่านั้น
“สมาคมฯจึงไม่แน่ใจว่าการเปิดเมืองเชียงใหม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นไปตามไทม์ไลน์หรือไม่ จากปัญหาการเข้าถึงวัคซีน!”
ส่วนสถานการณ์ของโรงแรมในเชียงใหม่จากปัจจุบันที่มีอยู่ 60,000 ห้องพัก มีปิดกิจการชั่วคราวและปิดถาวร 70% ส่วนที่เหลือเปิดให้บริการตอนนี้มีเพียง 30% ไม่ถึง 20,000 ห้องพัก ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาหลังพบการระบาดของโควิดระลอก 3 มีอัตราเข้าพัก 8% ของห้องที่เปิดให้บริการ และเชื่อว่าตลอดไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.นี้ จะยิ่งแย่กว่าเดิมเหลืออัตราเข้าพักเพียง 3-5% ถือว่าหนักหน่วงมาก
“ตลาดท่องเที่ยวเชียงใหม่ยังคงได้รับผลกระทบจากยอดผู้ติดเชื้อในประเทศที่พุ่งสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคกลางซึ่งเป็นฐานนักท่องเที่ยวหลักของเชียงใหม่ สมาคมฯจึงลุ้นให้สถานการณ์ดีขึ้น มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง เพราะจะช่วยหนุนให้ภาคท่องเที่ยวเชียงใหม่กระเตื้องในไตรมาส 4 รับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น”