เผยพบหลักฐานยืนยัน 'ดินแดนสุวรรณภูมิ' มีอยู่จริง
ผอ.สถาบันสุวรรณภูมิศึกษา เผยข้อมูลการค้นพบหลักฐานหลายชิ้นที่บ่งบอกถึงสถานที่ตั้งของ'ดินแดนสุวรรณภูมิ' มีอยู่จริง
จากงานวิจัยเสวนา ครั้งที่ 1 เรื่อง เส้นทางอารยธรรมสุวรรณภูมิและร่องรอยภูมิหลังทวารวดี จัดโดยหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ร่วมกับสถาบันสุวรรณภูมิศึกษา
นพ.บัญชา พงษ์พานิช ผอ.สถาบันสุวรรณภูมิศึกษา วิทยาสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย (ธัชชา) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การศึกษาถึงการมีอยู่ของ ดินแดนสุวรรณภูมิ นั้น ได้ทบทวนเอกสารทั้งของไทย และนานาชาติ ที่เคยมีการศึกษาไว้
โดยพบว่าเมื่อประมาณกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัย ร.4 ที่ทรงเคยศึกษาไว้ และนานานักวิชาการไทยทำกันมา เห็นว่า สุวรรณภูมิ มีจริง อยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างอินเดียกับจีน แยกเป็น 2 ศูนย์ คือ ด้านการค้า และด้านพระพุทธศาสนา แต่ยังขาดหลักฐานที่ยืนยันอย่างชัดเจน
- เปิดหลักฐานระบุ 5 พื้นที่สนับสนุน 'ดินแดนสุวรรณภูมิ'
ขณะที่การศึกษาของต่างประเทศสรุปว่า เชื่อได้ว่าดินแดนสุวรรณภูมิมีเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว อยู่ในยุคแรกแริ่มประวัติศาสตร์ มีการค้าเป็นปัจจัยหลัก และพระพุทธศาสนามีบทบาทมาก ทั้งมีการขุดค้นทาง โบราณคดี พบหลักฐานเพิ่มขึ้นมากในเมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม อินเดีย และจีน พบหลักฐานที่เก่าแก่ถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 2 ที่อาจบ่งบอกถึง ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้
นพ.บัญชา กล่าวต่อไปว่า ต่อมาเมื่อปี 2561 ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จีสด้า ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดจากนักวิชาการต่างๆ พบข้อ มูลหลักฐานสนับสนุนที่ระบุว่าพบดินแดนสุวรรณภูมิในพื้นที่
1.บริเวณคอคอดกระและตอนบนของคาบสมุทรไทยและตะวันตกของอ่าวไทย
2.ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย
3.ทางตอนใต้ของเมียนมาร์และตะวันตกของไทย
4.บริเวณปากแม่น้ำโขงในกัมพูชาและเวียดนาม เชื่อมลุ่มน้ำบางปะกง เจ้าพระยา และป่าสัก
5.บริเวณอ่าวเมาะตะมะ ถึงลุ่มน้ำชีข้ามออกตอนกลางของเวียดนามแถบดานัง-เว้
- คาดหลักฐานชิ้นเดียวพบในไทย บนพื้นที่จ.ชุมพร
โดยได้มีการค้นพบโบราณวัตถุสำคัญจำนวนมาก เช่น ลูกปัดโบราณ วงแหวนเมารยะ (ราชวงศ์โบราณของอินเดีย) ซึ่งในโลกพบเพียง 30 ชิ้น ทั้งหมดพบในอินเดีย
มีเพียงชิ้นเดียวที่พบในประเทศไทย ในพื้นที่ จ.ชุมพร เมื่อปี 2560 ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญของโลก ทั้งยังพบโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นจากยุคอินเดียโบราณ เช่น เงินตรากหาปนะ ผอบพระบรมสารีริกธาตุ รวมไปถึง โบราณวัตถุ ที่มีการสลักรูปนักรบโรมัน จักรพรรดิ,กษัตริย์ในยุคโรมัน จึงเกิดเป็นประเด็นคำถามว่ามาพบในพื้นที่ประเทศไทยได้อย่างไร ซึ่งจำเป็นจะต้องศึกษาค้นคว้าต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลหลักฐานการค้นพบดังกล่าว นำไปสู่การจัดตั้ง สถาบันสุวรรณภูมิศึกษา โดยจะศึกษาและร่วมมือกับประเทศในแถบอาเซียน เพื่อเดินหน้าศึกษาว่าด้วยถึงที่ตั้งของ ดินแดนสุวรรณภูมิ ที่แท้จริงต่อไป โดยมุ่งการเชื่อมโยงจากอดีตผ่านปัจจุบันสู่อนาคต ครอบคลุมอาณาบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงย่านอ่าวเบงกอลและอ่าวตังเกี๋ย ท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ของโลก ทั้งในมิติการสร้างสรรค์พัฒนาองค์ความรู้และคลังฐานข้อมูลความรู้ เสริมสร้างแวดวงวิชาการ ตลอดจนการนำมาสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของชาติและภูมิภาคไปด้วยกัน