SPCG ลุยธุรกิจลิสซิ่งโซลาร์รูฟ -ลงทุนใหม่โซลาร์ฟาร์ม เร่งปั้มรายได้
“เอสพีซีจี” เผย อยู่ระหว่างพิจารณาลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งใน-ต่างประเทศ หวังทดแทนโซลาร์ฟาร์ม 36 แห่ง กำลังผลิต260 เมกะวัตต์ แอดเดอร์ทยอยหมด(ปี64-67) ส่งผลปี67 รายได้หายไป 1.5 พันล้าน พร้อมคงเป้ารายได้ปีนี้5.5 พันล้าน
นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ขยายไปสู่ธุรกิจลิสซิ่งโซลาร์เพาเวอร์รูฟ ผ่านบริษัทร่วมทุนMSEK Power โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ใช้ลักษณะการใช้การประหยัดพลังงานของลูกค้ามาจ่ายค่างวดสินเชื่อ ซึ่งลูกค้าให้ความสนใจอย่างมาก
ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าอยู่ในแผนงานไม่ต่ำกว่า 20 ราย และในส่วนนี้ 70 – 80% เป็นลูกค้าลิสซิ่ง แต่เนื่องด้วยภาวะโควิด-19 ทำให้ทางบริษัทลิสซิ่งต้องมีการวิิเคราะห์เครดิตลูกค้าหรือพิจารณาการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยในปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้จากการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปไว้ที่ 500-800 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมปีนี้คงเป้าที่ 5,000–5,500 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม บริษัทยังหาโอกาสในการลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศเน้นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนในต่างประเทศจะเน้นที่ญี่ปุ่นที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากในปี2564-2567 บริษัทจะมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder)จำนวน 8 บาทต่อหน่วยจำนวน 36 โครงการ กำลังผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ ทยอยหมดอายุ โดยบริษัทคาดว่าภายหลังจากหมดAdder ในปี2567 จะส่งผลต่อรายได้ของบริษัทหายไปราว 1,300-1,500ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ ได้แก่ โครงการ Ukujimaกำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในเดือนก.ค.66 คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 68 ไม่น้อยกว่า 286 ล้านบาท และโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ณ เกาะคิวชู (Kyushu) กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ในเดือน ก.พ. 66 พร้อมกับในระยะสั้นเน้นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและรักษากำลังการผลิตให้ใกล้เคียงเดิม เพื่อชดเชย กับAdder ที่จะทยอยหมดลง