"ท่องเที่ยว-ค้าปลีก"เร่งปลุกมู้ดไฮซีซัน! หวังเดินทางสะพัด 2.75 หมื่นล้าน

"ท่องเที่ยว-ค้าปลีก"เร่งปลุกมู้ดไฮซีซัน! หวังเดินทางสะพัด 2.75 หมื่นล้าน

สัญญาณบวกเปิดเมือง "ท่องเที่ยว-ค้าปลีก" กางแผนฟื้นไฮซีซัน ททท. เปิดจอง 2 ล้านสิทธิใหม่ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” 1 ล้านสิทธิ 8 ต.ค.คิกออฟเดินทาง 15 ต.ค.หวังเม็ดเงินสะพัด 2.75 หมื่นล้าน “ค้าปลีก” อัดพันล้านปลุกใช้จ่าย เซ็นทรัลพัฒนา ระดม 100 งาน ชิงกำลังซื้อ

ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ “ไฮซีซัน” ของทุก ๆ ธุรกิจ ในไตรมาส 4  (ต.ค.-ธ.ค.)  ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19  ที่คาดการณ์ว่าน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ มีการเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มปรับลดลง รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากโรดแมพ “เปิดประเทศ” โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าหมายเปิดพื้นที่นำร่องเพิ่มอีก 5 จังหวัดในเดือน ต.ค. ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน มีบิ๊กแคมเปญรอกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางในประเทศ ซึ่งถือเป็นน้ำบ่อใหญ่ ที่ภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่าง ๆ รอช่วงชิงกำลังซื้อ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.เตรียมเดินหน้าโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้สอดคล้องไปกับการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” ซึ่งทางธนาคารกรุงไทยแจ้งมาว่าสามารถเปิดระบบให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้วันที่ 24 ก.ย.นี้ ก่อนจะเปิดให้จองสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. เริ่มใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวได้จริงตามห้องพักหรือแพ็คเกจที่จองไว้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.เป็นต้นไป

“ทั้ง 2 โครงการจะเริ่มเดินทางได้จริงตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. แต่เนื่องจากเริ่มดำเนินการช้ากว่ากำหนดเดิม ททท.จะหารือเพิ่มเติมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ถึงความเป็นไปได้ว่าสามารถยืดระยะเวลาทั้ง 2 โครงการไปจนถึงสิ้นเดือน ก.พ.2565 ได้หรือไม่”

\"ท่องเที่ยว-ค้าปลีก\"เร่งปลุกมู้ดไฮซีซัน! หวังเดินทางสะพัด 2.75 หมื่นล้าน

ทั้งนี้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และโครงการทัวร์เที่ยวไทย ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปีนี้ โดยรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เทศกาลสงกรานต์ไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2564 แต่กลับเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 เมื่อเดือน เม.ย. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงขอชะลอทั้ง 2 โครงการ จนกว่าสถานการณ์โควิดภายในประเทศจะคลี่คลายและคนไทยพร้อมออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง

หนุนไฮซีซันสะพัด2.75หมื่นล้าน

อย่างไรก็ดี โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ได้ขยายสิทธิเพิ่มอีก 2 ล้านสิทธิ โดยใช้งบประมาณส่วนที่เหลือจากเฟส 1 และ เฟส 2 วงเงิน 5,988 ล้านบาท ขณะที่โครงการทัวร์เที่ยวไทยใช้งบประมาณวงเงิน 5,000 ล้านบาท

ททท.ประมาณการว่าทั้ง 2 โครงการจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 4  คาบเกี่ยวถึงต้นปี 2565 กว่า 27,500 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายของประชาชนราว 16,500 ล้านบาท หรือ 60% ของค่าใช้จ่ายใน 2 โครงการ และรัฐบาลจ่ายสมทบ 40% ของค่าใช้จ่ายใน 2 โครงการ หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท

คาดแห่จองสิทธิเต็มภายในสิ้นปี

ททท.คาดว่า นักท่องเที่ยวไทยจะจองสิทธิของทั้ง 2 โครงการหมดภายในสิ้นปีนี้ เพราะอารมณ์ของคนไทยหลังมีการคลายล็อกดาวน์น่าจะอยากเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับยังไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้ในช่วงนี้ ทำให้ตลาดการเดินทางภายในประเทศน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง 

“ททท.อยากขยายระยะเวลาการจองและใช้สิทธิเดินทางให้คร่อมช่วงเทศกาลปีใหม่ กระจายการท่องเที่ยวในช่วงต้นปีหน้าด้วย เพราะเริ่มดำเนินการทั้ง 2 โครงการช้ากว่ากำหนด”

สอดคล้องกับแนวทางของภาคเอกชนที่ประเมินว่าปี 2565 ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ จึงเสนอมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ให้มีเฟส 4 เพิ่ม เพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ต่อเรื่องนี้ ททท.ต้องขอพิจารณางบประมาณว่ามีเพียงพอหรือไม่ และจำนวนสิทธิคงเหลือมากน้อยแค่ไหน

ใช้สิทธิเฟส1-2ครบ15ห้องอดเฟส 3

สำหรับเงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 จะให้สิทธิใหม่เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ โดยผู้มีสิทธิจะได้รับสิทธิประโยชน์ 3 อย่าง ได้แก่ สิทธิที่ 1 รัฐช่วยจ่ายค่าโรงแรมที่พัก 40% สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องหรือต่อคืน โดยประชาชนแต่ละคนจะได้รับสิทธิสูงสุด 15 ห้อง (คืน) สิทธิที่ 2 รัฐช่วยจ่ายค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ 40% โดยให้มาในลักษะคูปองมูลค่าสูงสุด 600 บาทต่อวัน (ทุกวัน) โดยประชาชนชำระเพียง 60% เมื่อเช็กอินเข้าพัก จึงจะได้รับคูปองเป็นรายวัน หลังเวลา 17.00 น. และสิทธิที่ 3 คืนเงินค่าตั๋วเครื่องบิน 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อผู้โดยสาร (เฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่กำหนด) จำกัดห้องพักละ 2 ที่นั่ง ตามจำนวนห้องที่เข้าพักจริง แต่รวมไม่เกิน 30 ที่นั่ง

“หากประชาชนที่เคยลงทะเบียนใช้สิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 1 และเฟส 2 ไปแล้ว เช่น ใช้ไปแล้ว 5 ห้อง ก็จะเหลือสิทธิที่สามารถใช้ได้อีก 10 ห้อง จากจำนวนสิทธิที่ได้รับทั้งหมด 15 ห้อง แต่ถ้าใช้สิทธิครบทั้ง 15 ห้องแล้วในเฟส 1 และเฟส 2จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3”

ด้านผู้ประกอบการต้องมาลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ใหม่ เพราะมีเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการใหม่ นอกจากนี้ผู้ประกอบการโรงแรมจะต้องส่งแผนเรตราคาห้องพัก (Rate Plan) และจำนวนห้องพัก เพื่อให้ระบบตรวจสอบด้วย เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 1 และเฟส 2 ที่ผ่านมา

ส่วนโครงการทัวร์เที่ยวไทย ให้สิทธิ 1 ล้านสิทธิ กำหนดเงื่อนไขให้ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใช้ได้ 1 คนต่อ 1 สิทธิ และต้องเดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น โดยรายการนำเที่ยวที่เลือกซื้อ ต้องเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดเท่านั้นสามารถเดินทางได้ทุกวัน ทั้งนี้รัฐช่วยจ่าย 40% ของราคาแพ็คเกจทัวร์ สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ ด้านเงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการทัวร์เที่ยวไทย สามารถให้บริการได้ไม่เกิน 1,000 คนต่อบริษัท เสนอรายการนำเที่ยวได้ 30 รายการ (แบ่งประเภท รูปแบบการให้บริการ ราคา และเงื่อนไขการเดินทาง โดยไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ)

หวังรัฐสานต่อเราเที่ยวด้วยกันยาวปี 65

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า สมาคมฯ อยากให้เริ่มโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมจะได้มีโอกาสทำธุรกิจ หลังเผชิญการระบาดของโควิดเป็นวงกว้าง 

“แม้จะมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวไทยในพื้นที่นำร่อง แต่คงยังไม่เดินทางเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ จะเป็นการทยอยเข้ามามากกว่า ตลาดนักท่องเที่ยวไทยจึงมีความสำคัญอย่างมากในการพยุงรายได้ธุรกิจโรงแรม”

สมาคมฯ ยังคาดหวังว่าโครงการอื่น ๆ ของรัฐ เช่น คนละครึ่ง เฟส 3 ซึ่ง กระทรวงการคลังพร้อมโอนเงินรอบที่ 2 จำนวน 1,500 บาท วันที่ 1 ต.ค. จะมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยวได้เช่นกัน นอกจากนี้ อยากให้รัฐพิจารณาการลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคล กรณีที่มีการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวก่อนสิ้นปีนี้ น่าจะเป็นแรงกระตุ้นอีกทาง ที่สำคัญอยากให้มีการพิจารณาผ่อนคลายให้โรงแรมสามารถจัดงานประชุมสัมมนารองรับคนได้มากขึ้นด้วย

“ถ้าเป็นไปได้อยากให้ภาครัฐสานต่อโครงการเราเที่ยวด้วยกันไปจนถึงปี 2565 เพราะน่าจะเป็นอีกปีที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมยังคงได้รับความลำบากจากวิกฤติโควิด นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้กลับมาแบบทันที ธุรกิจโรงแรมเองก็มีการแข่งขันตัดราคาสูงมาก โอกาสทำกำไรก็ยากขึ้น ทั้งต้องอยู่ในภาวะกดดันแบบนี้ไปอีก 1-2 ปี จากการวิเคราะห์ของสำนักเศรษฐกิจต่าง ๆ ส่วนใหญ่ประเมินว่าภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี หรือในปี 2568” นายกทีเอชเอกล่าว

ห้างร้านสะพัดพันล้านปลุกตลาด

แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก กล่าวว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ปรับตัวดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ขณะที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น สามารถเปิดประเทศได้ตามแผน 120 วันของรัฐบาล จะเป็นสัญญาณบวกต่อการรุกตลาดรอบใหม่ของผู้ประกอบการห้างร้านค้าปลีกในช่วงเทศกาลจับจ่ายไตรมาสสุดท้าย โดยปกติงบประมาณส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ในการทำบิ๊กแคมเปญส่งเสริมการขายที่มีหลายเทศกาลสำคัญ เช่น คริสต์มาสต์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่จะต้องมีการลงทุนตกแต่งบรรยากาศห้างร้านใหม่ 

“ปกติโดยรวมของผู้ประกอบการค้าปลีกค่ายยักษ์ใหญ่ ใช้งบหลัก 100 ล้านบาท หรือมากกว่า 200 ล้านบาท ในการทำตลาดเฉพาะช่วง 3 เดือนสุดท้ายอยู่แล้ว หรือสะพัดราว 1,000 ล้านบาท ต้องดูว่าสถานการณ์โควิดจะเป็นอย่างไร หากมู้ดมาเชื่อว่าแต่ละค่ายพร้อมจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อช่วงชิงยอดขายกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด หลังจากสะดุดมาตลอดปี”

เซ็นทรัลพัฒนาชูเบสท์ออฟเฟอร์แห่งปี 

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัญญาณทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากร้านค้าในศูนย์การค้าเซ็นทรัลซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้มกลับมาเปิดให้บริการพบว่าปริมาณลูกค้าหมุนเวียนกลับมา 50-70% ปัจจัยสำคัญคือร้านค้าและลูกค้าเชื่อมั่นในมาตรการเซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+ 

\"ท่องเที่ยว-ค้าปลีก\"เร่งปลุกมู้ดไฮซีซัน! หวังเดินทางสะพัด 2.75 หมื่นล้าน

รวมทั้งกลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง มีการจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าผ่านแคมเปญต่างๆ ที่กลับมาเดินหน้าต่อ โดยจะทยอยเปิดไม่ต่ำกว่า 100 งาน ภายในสิ้นปี 2564 อาทิ 3 แคมเปญใหญ่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในกลุ่มสินค้าไอที ความงาม และการศึกษา ผ่านความร่วมมือกับบัตรเดอะวัน สะสม​คะแนน แลกส่วนลดผ่านแพลตฟอร์ม The1Biz และกรุงศรีคอนซูมเมอร์  รับเครดิตเงินคืน และเลือกโปรผ่อนยาวสูงสุด 0% ​นาน 24 เดือน วันนี้ ถึง 6 ม.ค.2565 ซึ่งจากฐานลูกค้ามหาศาลของทั้ง 2 พันธมิตร และข้อเสนอพิเศษ จะผลักดันยอดขายให้ร้านค้าได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท