แกะรอยล่าโจรชิงทอง 10 ล้านที่ภูเก็ต เผยร้านทองไม่ได้ทำประกัน
รองผบช.ภ.8 ประชุมเครียด เร่งคดีคนร้ายชิง “ทองรูปพรรณ” น้ำหนัก 300 บาท มูลค่ากว่า 10 ล้านที่ภูเก็ต สั่งแกะรอยวงจรปิดโดยรอบหาหลักฐานเชื่อมโยง ขณะที่เจ้าของร้านทอง เผยเปิดบริการมากว่า 30 ปี ไม่เคยเกิดเหตุร้ายจึงไม่ได้ทำประกันไว้
วันนี้ (25ต.ค.) ที่ห้องประชุม ชั้น 2 สภ.เมืองภูเก็ต พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ( ผบช.ภ.8) เดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายก่อเหตุชิงทองในร้านทองกลางเมืองภูเก็ต ได้ "ทองรูปพรรณ" ไปประมาณน้ำหนัก 300 บาท มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และทำร้ายคนที่อยู่ภายในร้านได้รับบาดเจ็บ โดยมีพ.ต.อ.ประวิทย์ สุทธิเรืองอรุณ รองผบก.สส.ภ.8 รักษาการ ผกก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต, พ.ต.อ.ธีรวัฒน์ เลี่ยมสุวรรณ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม โดยใช้เวลาในการประชุมกว่าหนึ่งชั่วโมง
ภายหลังประชุมเสร็จได้เดินทางไปตรวจสอบร้านทองสถานที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบร่องรอยและหาเบาะแสคนร้ายอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งบริเวณจุดที่คนร้ายเจาะฝ้าเพดานห้องน้ำชั้น 2 ระเบียบด้านนอกชั้น 2 บริเวณชั้นล่างหน้าตู้เซฟเก็บ "ทองรูปพรรณ" และบริเวณหน้าร้านขายทอง โดยมีพี่สาวเจ้าของร้านคอยอธิบายจุดต่างๆ ซึ่งมี นางเบญจพร วัชรศิริยุทธ อายุ 60 ปี น้องสาวนางพวงเพ็ญที่ได้รับบาดเจ็บ ระบุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม้ที่คนร้ายใช้ตีผู้บาดเจ็บนั้น เป็นไม้แบบที่วางอยู่ภายในร้าน ส่วนมีดก็เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังได้ตรวจสอบบริเวณพื้นที่รกร้างและบ้านร้างที่ตั้งอยู่บริเวณ ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่คนร้ายใช้เข้าและออกจากร้านทอง ทั้งก่อนและหลังก่อเหตุ
ทั้งนี้ มีการตรวจสอบเส้นทางที่คนร้ายคาดว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายเข้ามาทางบ้านเก่าแล้วเดินลัดเลาะมายังหลังร้านทอง และใช้หลบหนีหลังก่อเหตุเส้นทางเดิม
พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 เปิดเผยว่าได้แบ่งกำลังออกสืบสวนสอบสวนเป็น 2 ชุด โดยมี กก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต และชุดสืบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ออกสืบหาเบาะแสคนร้ายตามเป้าหมายและสถานที่ต้องสงสัยแล้ว อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อม ทั้งเจ้าของร้านทั้ง 2 คน และประชาชนในละแวกใกล้เคียง
ขณะนี้พอจะมีกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขอเวลาในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ ส่วนที่คนร้ายนำโทรศัพท์มือถือของเจ้าของร้านไปด้วยนั้น เบื้องต้นยังไม่พบว่า คนร้ายนำไปขายที่ใด ซึ่งทาง ผบช.ภ.8 ได้สั่งการและกำชับให้เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันได้ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดตามถนนสายต่างๆ มาประกอบการติดตามตัวคนร้ายแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเร่งติดตามจับกุมคนร้ายโดยเร็วที่สุด
ขณะที่นางเบญจพร เปิดเผยว่า คนร้ายน่าจะรู้ว่า บริเวณชั้น 2 ไม่มีใคร เพราะมืด จึงปีนหลังคาแล้วเจาะทะลุฝ้าเพดานในห้องน้ำลงมา โดยอาวุธทั้งหมดก็ไม่ได้เตรียมมาเป็นของที่หาได้ภายในร้าน ก่อนจะนำมาข่มขู่และทำร้ายคนที่อยู่ในร้านจนบาดเจ็บ และบังคับให้เปิดตู้เซฟเก็บทองรูปพรรณต่างๆ
ส่วนค่าเสียหายที่คนร้ายชิงทองรูปพรรณไปนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้สำรวจหรือตรวจสอบจำนวนที่แน่ชัด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจขอปิดตู้เซฟไว้ก่อน เพื่อตรวจสอบหลักฐานต่างๆ หากคนร้ายเปิดเซฟได้ของมีค่าทุกอย่างอยู่ในนั้น เบื้องต้นคาดว่าได้ทองรูปพรรณต่างๆ น้ำหนักรวมประมาณ 300 บาท และเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
โดยในร้านมีทองรูปพรรณที่เก็บไว้รวมน้ำหนักกว่า 1 พันบาท มูลค่าเกือบ 30 ล้านบาท แต่คนร้ายมาเพียงคนเดียว จึงไม่สามารถเอาไปได้หมด ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นไปได้ทั้งคนงานต่างด้าวและคนไทยที่เคยเข้าออกที่ร้านเพราะร้านแห่งนี้เปิดให้บริการมากว่า 30 ปี ไม่เคยมีคดีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่ได้ทำประกันทองไว้ แต่เชื่อว่าฝีมือตำรวจไทย ไม่เกินความสามารถ เพราะภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครอยากให้เกิด โดยคุณลุงคุณป้าก็อายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสู้กับคนร้าย