ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างชาติในไทยดีขึ้น
คลายล็อกดาวน์ -เปิดประเทศ ดันดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างชาติไตรมาส 3ปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับ 41.7 ขอรัฐคุมโควิดให้อยู่ พร้อมแก้ไขกฎระเบียบอำนวยความสะดวกนักลงทุนต่างชาติ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของหอการค้าต่างประเทศจำนวน 66รายจาก29 ประเทศ ระหว่างเดือนส.ค.-ต.ค. 2564 แบ่งเป็น เอเชีย 48.4 % ทวีปยุโรป 40.6 %ทวีปอเมริกาเหนือ 4.7 % ทวีปอเมริกาใต้ 3.1 % ทวีปแอฟริกา 1.6 % ทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก 1.6 % พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ (FOREIGN BUSINESS CONFIDENCE INDEX :FBCI) ไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 41.7 ปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ยังต่ำว่า 50 โดยผลสำรวจความเห็นเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันพบว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับแย่ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อในประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ สถานการณ์การท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม การค้า การบริการ อย่างไรก็ตามยังมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าหรือในไตรมาส 4 จะดีขึ้น จากมาตรการคลายล็อคดาวน์ และการเปิดประเทศ
ทั้งนี้สิ่งที่นักธุรกิจต่างชาติต้องการให้รัฐบาลไทยสนับสนุนและแก้ไขปัญหา คือ มีแผนควบคุมโควิด-19 ที่ชัดเจน นโยบายการให้เงินอุดหนุน ค่าจ้าง ค่าเช่า ฯ ต่อภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แก้ไขกฎระเบียบที่ซับซ้อนในการเข้ามาลงทุน ให้มีความทันสมัย เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงกระบวนการขอVisa และWork Permit ให้ง่ายขึ้น จัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนให้เร็วที่สุดและทั่วถึงที่สุด และผ่อนปรนมาตรการโควิดเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการได้สะดวกขึ้น
นายสแตนลี่ย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า การเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับคนต่างชาติในประเทศไทยเวลานี้ทำได้ประมาณ 80-90% ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในด้านการลงทุน นอกจากนี้การส่งออกของไทยยังมาจากการฟื้นตัวของตลาดสหรัฐและตลาดยุโรป ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากในไตรมาส 3และ 4 อีกทั้งการที่รัฐบาลประกาศเปิดประเทศ 1 พ.ย.ก็ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นเพราะจะทำให้การเข้า-ออกของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ประมาณ 1 ปีครึ่ง รัฐบาลไทยมีการปรับตัวและเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้นแล้ว