ก.อุตฯ ยืนยันระงับข้อพิพาทเหมืองทองอัครา เลื่อนคำชี้ขขาดเป็น 31 ม.ค. 65

ก.อุตฯ ยืนยันระงับข้อพิพาทเหมืองทองอัครา เลื่อนคำชี้ขขาดเป็น 31 ม.ค. 65

กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันอนุญาโตตุลาการในคดีข้อพิพาทเหมืองทอง เลื่อนการออกคำชี้ขาดเป็นวันที่ 31 มกราคม 2565 การเจรจาระงับข้อพิพาทของทั้งสองฝ่ายมีแนวโน้มและทิศทางที่ดี คณะกรรมการยึดหลักการเจรจาอย่างรอบคอบ รัดกุม เป็นไปตามกฎหมาย และถือประโยชน์สูงสุดของประเทศ

นายกอบชัย  สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยที่ปรากฏเป็นข่าวว่า บริษัท คิงส์เกตฯ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการพิจารณาข้อพิพาท และการขอเลื่อนการออกคำชี้ขาดจากกำหนดการเดิม 31 ตุลาคม 2564 ออกไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2565 นั้น

ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าขณะนี้ได้มีการเลื่อนการออกคำชี้ขาดออกไปจากกำหนดเดิมจริง พร้อมทั้งคู่พิพาททั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่ดำเนินการคู่ขนานไปกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ตามคำแนะนำของอนุญาโตตุลาการที่ให้ทั้งสองฝ่ายไปเจรจากันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย 

ทั้งนี้ การที่ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อระงับข้อพิพาท มิได้หมายความว่าฝ่ายไทยเชื่อว่าจะแพ้คดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ แต่หากสามารถตกลงยุติข้อพิพาทได้จะเป็นผลดีมากกว่าการให้คณะอนุญาโตตุลาการออกคำชี้ขาด

คณะกรรมการฯ ซึ่งมีผู้แทนจากหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและที่ปรึกษากฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในระดับสากล ในการดำเนินการต่อสู้ในชั้นอนุญาโตตุลาการอย่างรอบคอบ รัดกุม และเป็นเอกภาพ สำหรับแนวทางการเจรจายึดถือประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลัก พร้อมทำความเข้าใจกับคู่เจรจาในส่วนที่เข้าใจไม่ตรงกัน ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของชุมชนในพื้นที่ รวมทั้งมีความเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย