รวบยกขบวนการ แก๊งหลอกคนไปทำงาน ตปท.
ตำรวจ บก.ทท.1 รวบยกขบวนการ แก๊งหลอกคนไปทำงาน ตปท.
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ทท.1 จับกุมผู้ต้องหา น.ส.มัตติกา อายุ 34 ปี และ นายหัสดี อายุ 46 ปี ในความผิดฐาน “ผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” , “ฉ้อโกงประชาชน” ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท., พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์, พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย, พล.ต.ต อภิชาต สุริบุญญา รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต.ธวัช ปิ่นประยงค์ ผบก.ทท.1 ได้สั่งการให้
ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กระทำความผิดในลักษณะซ้ำเติมความเดือดร้อนแก่ประชาชนทางเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงได้กวดขันป้องกันปราบปรามการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
โดยมีพฤติการณ์แห่งคดีคือ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว กก.3 บก.ทท.1 ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับแจ้งจากผู้เสียหายขอให้ช่วยตรวจสอบเที่ยวบินที่ตนเองจะเดินทางไปทำงานประเทศออสเตรเลีย พบว่าไม่มีการจองเที่ยวบินในชื่อผู้เสียหายแต่อย่างใดทำให้ผู้เสียหายทราบว่าตนเองถูกหลอกสอบถามรายละเอียดทราบว่าผู้เสียหาย ได้ติดต่อไปทำงานประเทศออสเตรเลียผ่านทาง ผู้ต้องหาชื่อ น.ส.ณิศารัตน์ ชื่อเล่นแอม (หลบหนีอยู่ต่างประเทศ) และ น.ส.มาติกา ชื่อเล่น แอ๊พ ร่วมกันพูดคุยหลอกลวงว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ เสียค่าใช้จ่ายการเดินทางไปแล้วรวม 141,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชี น.ส.มาติกา และ นายหัสดี ภายหลังเมื่อถึงวันเดินทางมาที่สนามบินพบไม่มีการจองเที่ยวบินจึงทราบว่าถูกหลอกลวง
นอกจากนี้ ภายหลังจับกุมขบวนการ SCAMMER นี้ได้แล้ว มีผู้เสียหายรายอื่นทราบเรื่องส่งตัวแทนจำนวน 10 คน มาแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจท่องเที่ยวและ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่าถูกคนร้ายกลุ่มนี้หลอกลวงเช่นเดียวกัน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท จึงได้ช่วยเหลือให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้วประสานข้อมูลทางคดีไปยังสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุของผู้เสียหายแต่ละรายเพื่อดำเนินคดีต่อไป
นอกจากนี้ยังได้จับกุม “Romance Scam แสร้งรักออนไลน์หลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ” โดยนางสาวทิวาพร อายุ 35 ปี ผู้ต้องหา ก่อนถูกจับ กลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ อ้างเป็นชาวสหรัฐอเมริกา อ้างว่ารู้จักสนิทสนมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผู้เสียหาย เคารพนับถือซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศ จึงได้พูดคุยกับผู้หญิงคนดังกล่าวทางแอพพลิเคชั่นไลน์เรื่อยมา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ผู้ต้อง ได้แจ้งว่าอีกประมาณ 2-3 วัน ผู้ใหญ่ที่ผู้เสียหายเคารพนับถือจะส่งสิ่งของสำคัญมาให้ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2563 ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์จาก น.ส.ไก่ ซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ว่ามีกล่องพัสดุส่งมาให้ผู้เสียหายอยู่ที่สนามบินดอนเมือง โดยทางบริษัทจะนำกล่องพัสดุดังกล่าวมาส่งให้ผู้เสียหาย ที่บ้าน แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและค่าน้ำหนักของ เป็นเงินจำนวน 45,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวไปแต่พบว่าพบว่าภายในกล่องมีเงินสกุลดอลล่าสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านบาท ต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าประกันสินค้าเพิ่ม
โดยถูกหลอกโอนเงินทั้งหมด จำนวน 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 1,595,000 บาท ผู้เสียหาย ยังไม่ได้รับพัสดุดังกล่าว จึงได้พยายามติดต่อ น.ส.ไก่ ทางโทรศัพท์แต่ไม่สามารถติดต่อได้ และได้ติดต่อหญิงที่อ้างทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ผู้เสียหาย จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.คธม.บช.ทท. ได้จับตัวกุมได้ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ตามที่รัฐบาล ได้จัดทำโครงการ " เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 " เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งนี้ ททท. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ตรวจสอบพบพฤติกรรมการทำธุรกรรมที่ผิดปกติใน โครงการ " เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 " ปรากฏพบ มีผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม มีพฤติการณ์ทำธุรกรรมไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์และส่อไปในทางทุจริต จำนวน 11 โรงแรม และผู้ต้องสงสัย 5 ราย มีพฤติกรรม ใช้นายหน้าหรือตัวแทน ชักชวนประชาชนที่มีแอพเป๋าตัง ลงทะเบียนรับสิทธิ์โครงการฯ ทำการจองห้องพักราคาสูง เพื่อรับเงินส่วนต่างที่รัฐบาลสนับสนุน โดยเสนอ ให้ค่าตอบแทนแก่ประชาชนเพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้มีการเข้าพักจริง และบางโรงแรมยังไม่เปิดให้บริการ ใช้นายหน้า ชักชวนนำพาประชาชนมาใช้สิทธิ์จองห้องพัก และทำการเช็คอินนอกสถานที่ตั้งของโรงแรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จึงขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกภาคส่วน กรุณาประชาสัมพันธ์ข้อมูล ให้ประชาชนทราบว่าพฤติการณ์ลักษณะดังกล่าวข้างต้น เป็นความผิด และอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของนายหน้า ที่มาแนะนำหรือชักชวนให้ทำการดังกล่าวโดยได้ค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย และขอแจ้งเตือน ผู้ประกอบการโรงแรม รวมถึงร้านค้า ที่ร่วมโครงการดังกล่าว ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎระเบียบตามโครงการฯ ด้วยความสุจริต ทั้งนี้ หากพบผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น ถือว่า มีเจตนา ฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีอัตราโทษสูงดังนี้ " ร่วมกันฉ้อโกง " มาตรา 341 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ " ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น " มาตรา 342 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ