โบรกเพิ่มน้ำหนักลงทุน "หุ้นแบงก์" รับสินเชื่อฟื้นตัว-ดักปันผล
“โบรก” เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นแบงก์ “บล.กสิกรไทย” คาดปีหน้า สินเชื่อกลับมาเติบโต-ปันผลงวดครึ่งปีหลัง 64 คาดปี 65 แบงก์ใหญ่จ่ายปันผลเพิ่ม เหตุเงินกองทุนส่วนเกินสููง-ไม่ถูกธปท.กำกับ “บล.หยวนต้า” แนะ “ทิสโก้” ดิวิเดนด์ยิลด์ 7%
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บล.กสิกรไทย ได้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” (Overweight) จากปัจจัยหนุนคือ สินเชื่อของระบบธนาคารมีแนวโน้มกลับมาเติบโตดีขึ้น ล่าสุด สินเชื่อรวมเดือน พ.ย.2564 เติบโต 0.7% จากเดือนก่อน โดยคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อจะต่อเนื่องไปยังปี 2565 ส่งผลบวกต่อรายได้ของธนาคาร
ทั้งนี้ คาดว่าสินเชื่อรายย่อยจะเป็นกลุ่มที่ผลักดันรายได้ของธนาคารในปีหน้ามากที่สุดได้แก่ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์สอดคล้องกับข้อมูลในอดีตที่หลังวิกฤติทางการเงิน 1 ปี สินเชื่อรายย่อยจะกลับมาเติบโตได้ดี โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยสูง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากเงินปันผลงวดปี 2564 ที่จะเริ่มจ่ายในช่วงต้นปีหน้า และเงินปันผลงวดปี 2565 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 และ 2564 ซึ่งถูกจำกัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกทั้งในปัจจุบันกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่มีเงินกองทุนส่วนเกิน (Tier 1) ค่อนข้างสูง ที่ระดับประมาณ 40-50% ของมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) จึงมีศักยภาพที่จะจ่ายปันผลเพิ่ม
ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ได้แก่ ต้นทุนของธนาคาร คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2563-2564 เพราะธนาคารเดินหน้าลดต้นทุนสาขาและพนักงานลงไปค่อนข้างมาก รวมถึงมีการลงทุนด้านดิจิทัลเพื่อช่วยประหยัดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง จึงคาดหวังอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) จะทรงตัวในปีหน้า
ส่วนกระแสดิสรัปจากผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) มองว่าตลาดเริ่มคลายกังวลลง ภายหลังธนาคารเดินหน้าจับมือกับฟินเทคเพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกันมากกว่าการแยกกันทำธุรกิจเพื่อแข่งขัน จากที่ธนาคารมีจุดแข็งด้านข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้า เช่น ข้อมูลการใช้โมบายแบงกิ้ง และข้อมูลการใช้พร้อมเพย์ โดยคาดหวังเห็นความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นในปี 2565
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย แนะนำ SCB และ TTB เป็นหุ้นเด่น เพราะได้ปัจจัยหนุนจากสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่สูง ขณะที่ TTB คาดว่ากำไรจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อหุ้นทุกตัวในกลุ่มธนาคาร ยกเว้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ที่ปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” เพราะคาดว่ากำไรปี 2565 จะลดลง จากปีนี้ที่มีกำไรพิเศษขายหุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR)
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า บล.หยวนต้า เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร ภายหลังยอดสินเชื่อรวมเดือน พ.ย.ของหุ้นธนาคาร ที่ฝ่ายวิจัยจัดทำบทวิเคราะห์กลับมาขยายตัว 0.4% โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าภาพการฟื้นตัวของสินเชื่อจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2565
นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากการจ่ายปันผลงวดปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปี 2563 ที่ถูก ธปท.กำกับการจ่ายปันผล อย่างไรก็ดี หลายธนาคารประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ดังนั้น การลงทุนเพื่อรับเงินปันผลจึงแนะนำ TISCO ที่มีการจ่ายปันผลครั้งเดียว โดยมีอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ค่อนข้างสูง 7.61% หรือ 6.59 บาทต่อหุ้น