‘ทวินไพน์’ มั่นใจไทยฮับออกหุ้นกู้แห่งอาเซียน
“ทวินไพน์” ชี้ไทยมีศักยภาพสู่ ศูนย์กลางออกหุ้นกู้ระดับCLMVT สร้างรายได้เข้าประเทศ เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนไทย สร้างโอกาสระดมทุนให้บ.ขนาดกลาง ปีหน้าเล็งผนึกบลจ. ตั้ง กองไฮยิลด์บอนด์ หวังดันการออกหุ้นกู้ปีละ1-2 หมื่นล้านปัจจุบันทำไปแล้ว 1 แสนล้าน
นายอดิศร สิงห์สัจจะ ผู้ก่อตั้งและ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทวิน ไพน์ กรุ๊ป จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และการระดมทุนในกลุ่มประเทศ CLMVT เปิดเผยว่า ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลาง (ฮับ)ออกหุ้นกู้ระดับภูมิภาค (CLMVT) เนื่องจากตลาดพันธบัตรในไทย มีสภาพคล่องสูงในปี2565 คาดปริมาณการออกมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท และนักลงทุนไทยมีศักยภาพกระจายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
ที่สำคัญประเทศไทย จะได้ประโยชน์จากการเป็นฮับดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ และสามารถมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายและเชื่อมโยงกันระดับภูมิภาค ทั้งตลาดหุ้นกู้ ตลาดระดมทุน และตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนไทยได้ประโยชน์มีทางเลือกกระจายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ และยังเป็นแหล่งระดมทุนให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางได้ด้วย
นายอดิศร มองว่า แนวทางการลงทุนใน “ไฮยิลด์บอนด์” ลักษณะ “กองทุนรวม” ช่วยผลักดันการเป็นฮับได้ เพราะผู้ประกอบการใน CLMVT ส่วนใหญ่มีอันดับเครดิตเรตติ้ง BBB หรือต่ำลงมา ทำให้หุ้นกู้ที่ออกเป็นประเภทไฮยิลด์บอนด์ และการทำในลักษณะกองทุนรวม จะช่วยเปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (HWN) เข้ามาลงทุนได้มากขึ้น
ดังนั้น ในปี 2565 บริษัทเตรียมหาพันธมิตรบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ร่วมมือกัน จัดตั้ง”กองทุนไฮยิลด์บอนด์ในไทย" และยังคงสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางในไทยที่มีศักยภาพ ระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ เพิ่มขึ้น
บริษัทตั้งเป้าหมายผลักดันการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นระดับ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปีจากปัจจุบันช่วยให้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วมูลค่ากว่า 1แสนล้านบาทในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัททดลองทำโมเดลทดสอบการออกกองทุนไฮยิลด์บอนด์ โดยประเมินความเสี่ยงหุ้นกู้ที่มีศักยภาพนำมาเข้ากองทุนในเบื้องต้น 140 บริษัท คัดมาได้เหลือ 70-80 บริษัท แต่จะตั้งกองทุนได้จริงอาจเหลือ ไม่ถึง 10 บริษัท ต่อครั้งที่ออกองทุน เพื่อมีการกระจายตัวที่ดี
และพบว่า หุ้นกู้ไฮยิลด์ในไทย มีธุรกิจบางประเภทที่มีศักยภาพ ได้แก่ อุตสาหกรรม ยาง ลอจิสติก ซัพพายเชนและ โรงไฟฟ้า มีศักยภาพเติบโตดีและบางบริษัทได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตเรตติ้งในระหว่างปีด้วย
ทำให้กองทุนไฮยิลด์บอนด์สามารถสร้างผลตอบแทนคาดหวังได้ราว 4-6% ต่อปี ขณะที่มูลค่ากองทุนจะเป็นเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ออกและผู้ลงทุนช่วงที่ออก โดยสามารถออกกองทุนเป็นรายไตรมาส ไม่จำเป็นต้องออกกองไซด์ใหญ่ก็ได้
“ หลังจากโควิดเริ่มคลี่คลายจากช่วง 2 ปีก่อน เป็นโอกาสที่ดี ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันผลักดันให้ตลาดหุ้นกู้ไฮยิลด์แม้ความเสี่ยงบอนด์ดีฟอลยังคงอยู่ ดังนั้นการประเมินเครดิตรายบริษัทอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็นและนักลงทุนต้องความเข้าใจความเสี่ยง"