มองอาร์เซ็ปหลัง 1ม.ค.65 ”ไทย” ได้ และ เสียประโยชน์
อาร์เซ็ปมีผลบังคับแล้ว !!!ไทยได้ประโยชน์ด้วยได้ลดภาษีรวม 39,366 รายการ ลด 0% ทันที 29,891 รายการ เปิด โอกาสค้าบริการ ลงทุน ในตลาดอาร์เซ็ป ด้านนักวิชาการ ชี้ขาดดุลการค้าอาร์เซ็ปเพิ่มขึ้นเป็น 15,014 ล้านดอลลาร์
1 ม.ค. 65 เป็นวันแรกที่ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป (RCEP )มีผลบังคับใช้ ภายหลังที่สมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) 6 ประเทศ ซึ่งให้สัตยาบันแล้วคือ บรูไน กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม และคู่เจรจาอีก 3 ประเทศ ซึ่งให้สัตยาบันแล้วคือ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ทั้งนี้อาร์เซ็ป ประกอบด้วยชาติสมาชิกของกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน 10 ชาติและประเทศนอกกลุ่มอาเซียฯประกอบด้วย จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
อาร์เซ็ปเป็นเอฟทีเอฉบับที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิก 15 ประเทศมีประชากรรวม 2,300 ล้านคน หรือ 30% ของประชากรโลก มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) รวม 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 33% ของจีดีพีโลก มูลค่าการค้ารวม 10.7 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 30% ของมูลค่าการค้าโลก
หลายคนยังมองไม่ออกว่า เมื่ออาร์เซ็ปมีผลบังคับใช้แล้วไทยจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้คำตอบว่า อาร์เซ็ปเป็นความตกลงเอฟทีเอที่ทันสมัย ครอบคลุม คุณภาพสูง และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน
ขณะที่นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แจกแจงผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากอาร์เซ็ป เมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้ จะทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่โดยไทย มีการค้าและการลงทุนมากกว่า 50% อยู่ในตลาดของสมาชิกอาร์เซ็ป โดยในด้านการค้า ประเทศคู่เจรจาจะลดภาษีให้ไทยเป็น 0% รวมทั้งหมด 39,366 รายการ (ออสเตรเลีย 5,689 รายการ จีน 7,491 รายการ ญี่ปุ่น 8,216 รายการ เกาหลีใต้ 11,104 รายการ และนิวซีแลนด์ 6,866 รายการ) โดยจะยกเลิกภาษีเป็น 0% ทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับจำนวน 29,891 รายการ หรือ 75.9% ของรายการสินค้าที่จะยกเลิกภาษีทั้งหมด และสินค้าที่ประเทศคู่เจรจาจะทยอยลดภาษีภายใน 10-20 ปี จำนวน 9,475 รายการ
สำหรับสินค้าที่ไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดเพิ่มเติม มีทั้งหมด 653 รายการ จากจีน 33 รายการ ญี่ปุ่น 207 รายการ และเกาหลีใต้ 413 รายการ โดยสินค้าที่เกาหลีใต้เปิดตลาดเพิ่ม เช่น ผักผลไม้แปรรูปและไม่แปรรูป น้ำมันที่ได้จากพืช ของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้งมันสำปะหลัง สินค้าประมง พลาสติก เครื่องแก้ว ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ด้ายทำด้วยยางวัลแคไนซ์ รถจักรยาน เครื่องยนต์เรือและส่วนประกอบ กระเบื้อง ซีเมนต์ เป็นต้น ญี่ปุ่น เช่น สินค้าประมง ผัก ผลไม้ปรุงแต่ง แป้งสาคู น้ำมันถั่วเหลือง กาแฟคั่ว น้ำผลไม้ เป็นต้น และจีน เช่น พริกไทย สัปปะรดแปรรูป น้ำมะพร้าว ตัวรับสัญญาณโทรทัศน์ สไตรีน ชิ้นส่วนยานยนต์ กระดาษ เป็นต้น
ส่วนการลดภาษี เกาหลีใต้ จะลดภาษีผลไม้สดหรือแห้ง เช่น มังคุด และทุเรียน และผลไม้และลูกนัตอื่น ๆ แช่แข็ง จาก 8-45% เหลือ 0% ภายใน 10-15 ปี น้ำสับปะรด จาก 50% เหลือ 0% ภายใน 10 ปี และสินค้าประมง เช่น ปลาสดแช่เย็น แช่แข็ง และปลา กุ้งแห้ง ใส่เกลือหรือแช่น้ำเกลือ จาก 10-35% เหลือ 0% ภายใน 15 ปี ญี่ปุ่น จะลดภาษีศุลกากรให้กับผักปรุงแต่ง เช่น มะเขือเทศ ถั่วบีน หน่อไม้ฝรั่ง และผงกระเทียม จาก 9-17% เหลือ 0% ภายใน 16 ปี สับปะรดแช่แข็ง จาก 23.8% เหลือ 0% ภายใน 16 ปี และกาแฟคั่ว จาก 12% เหลือ 0% ภายใน 16 ปี และจีนจะลดภาษีสับปะรดปรุงแต่ง น้ำสับปะรด น้ำมะพร้าว และยางสังเคราะห์ จาก 7.5-15% เหลือ 0% ภายใน 20 ปี ชิ้นส่วนยานยนต์ (อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่างหรือให้สัญญาณ และที่ปรับกระจกในรถยนต์) ลวดและเคเบิ้ล สำหรับชุดสายไฟที่ใช้ในรถยนต์ จาก 10% เหลือ 0% ภายใน 10 ปี เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการเลือกใช้แหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น สามารถนำวัตถุดิบที่ได้ถิ่นกำเนิดภายใต้ อาร์เซ็ป มาสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าต่อได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่านถิ่นกำเนิดสินค้า และส่งผลให้การค้า การลงทุนในภูมิภาคขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีโอกาสด้านการค้าบริการและการลงทุน เพราะกฎระเบียบอาร์เซ็ป ได้ลดหรือยกเลิกกฎระเบียบและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคบริการ หรือการลงทุนที่ไม่ใช่ภาคบริการ เช่น มาตรการ ขั้นตอนในการขอรับใบอนุญาต และการตรวจสอบคุณวุฒิ คุณสมบัติของผู้ให้บริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนเกินจำเป็น จะช่วยส่งเสริมการออกกฎระเบียบและมาตรการด้านการลงทุนมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นและไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนจนเกินจำเป็น นักลงทุนไทยสามารถจัดตั้งกิจการและลงทุนในประเทศของสมาชิกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อีกทั้ง ยังช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในประเทศภาคีอาร์เซ็ป ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การก่อสร้าง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์และบันเทิง ประเภทเทคนิคตัดต่อภาพและเสียง การผลิตแอนิเมชัน และค้าปลีก เป็นต้น รวมทั้งช่วยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาไทย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากอาร์เซ็ป แต่อีกด้านไทยเองก็จะต้องเสียประโยชน์ด้านการค้าเช่นกัน โดยนักวิชาการ “อัทธ์ พิศาลวานิช” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า แม้อาร์เซ็ปจะทำให้การส่งออกไทยเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจทำให้ไทยขาดดุลการค้าอาร์เซ็ปเพิ่มขึ้นเป็น 15,014 ล้านดอลลาร์ โดยจะขาดดุลจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย บรูไน, ขณะที่การเดินรถไฟลาว-จีน ที่แม้ทำให้ตันทุนการขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนลดลง 30% และสินค้าไทยส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น 1.5% มูลค่า 443.4 ล้านดอลลาร์ หรือ 14,418 ล้านบาท แต่ก็ทำให้สินค้าจากจีน โดยเฉพาะผัก และผลไม้ และสินค้าราคาถูก เข้ามาตีตลาดสินค้าไทยมากกว่าถึง 627 ล้านดอลลาร์ หรือ 19,963 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่า “อาร์เซ็ป” ไทยทั้งได้และเสียประโยชน์ไปพร้อมๆกัน เช่นเดียวกับประเทศสมาชิกอาร์เซ็ปที่ได้และเสียประโยชน์ แต่อย่างน้อยอาร์เซ็ปก็เปิดตลาดการค้าให้ไทยเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ไทยจะตักตวงผลประโยชน์จากความตกลงทางการค้าให้มากที่สุดได้แค่ไหน