"Workation" เทรนด์ทำงานวิถีใหม่ เติมเต็มคุณภาพชีวิตคนทำงานได้อย่างไร?
อาจารย์สาขาจิตวิทยาองค์กร จุฬาฯ ระบุ "Workation" ช่วยลดความเครียดพนักงานได้ จุดประกายความคิดใหม่ๆ และกระชับสัมพันธ์ทีมและองค์กร ทั้งนี้ พนักงานและองค์กรต้องเข้าใจเทรนด์การทำงานนี้ให้ชัดเจนและสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ “งานดี คนมีสุข”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนปรับตัวสู่ชีวิตวิถีใหม่และรูปแบบการทำงานที่เปิดกว้างหลากหลายขึ้น ตั้งแต่การทำงานที่ออฟฟิศ สู่การทำงานที่บ้าน (work from home) จนถึง workation เทรนด์การทำงานที่ทำให้หลายคนรู้สึกอิสระว่าจะทำงาน “ที่ไหน เมื่อไรก็ได้” แต่เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่?
ก่อนจะรับเทรนด์นี้มาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีการทำงานขององค์กร อ.ดร. เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชวนทำความเข้าใจ workation ให้ชัดว่าคืออะไร จะเป็นประโยชน์อย่างไรกับพนักงานหรือองค์กร รวมทั้งมีข้อควรคำนึงถึงและพึงระวังอะไรบ้าง
- Workation คืออะไร เข้าใจให้ถูก
เมื่อดูจากคำสมาสระหว่าง work และ vacation แล้ว หลายคนอาจเข้าใจว่า workation หมายถึงการทำงานในช่วงวันหยุด (ถ้าเช่นนั้นยังจะเรียกว่าวันหยุดได้อยู่หรือ?) ในเรื่องนี้ ดร.เจนนิเฟอร์ อธิบายว่า workation ไม่ได้หมายถึงการทำงานในช่วงวันหยุดพักผ่อน หรือการทำงานไปด้วยพักผ่อนไปด้วย แต่หมายถึงการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานจากสำนักงาน (office) หรือ ที่พักอาศัย (work from home) ไปทำงานในสถานที่อื่นๆ ซึ่งพนักงานก็ยังคงต้องรับผิดชอบและทำงานตามหน้าที่อย่างที่ทำเป็นประจำ
ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าวเสริมว่าโดยมาก workation จะเป็นการทำงานชั่วคราวหรือในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ เช่น เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ทางความคิด หรือ สานความสัมพันธ์ในองค์กร เป็นต้น
- Workation งานก็ได้ ทีมเวิร์คก็ดี
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พนักงานบริษัทหลายแห่งแยกย้ายกระจายตัวทำงานที่บ้าน ไม่ได้พบหน้าและขาดปฏิสัมพันธ์กัน (employee engagement) เกิดระยะห่างกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม (teamwork) และประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในองค์กร workation จึงเป็นโอกาสที่จะช่วยเติมเต็มจุดนี้
“หลายบริษัทให้พนักงานที่ทำงานเป็นทีมไปเที่ยวด้วยกันและระหว่างนั้นก็ทำงานร่วมกันไปด้วย workation จึงมีลักษณะคล้ายการไปสัมนาหรือการท่องเที่ยวประจำปีของบริษัท โดยจุดประสงค์หลักคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม เพิ่มความรู้สึกพึงพอใจกับงานมากขึ้น และหลายครั้งก็เป็นโอกาสในการสร้างคอนเนคชันงานและธุรกิจไปด้วย” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว
แม้การเปลี่ยนสถานที่การทำงานไม่อาจการันตีประสิทธิภาพการทำงานได้เสมอไป แต่บรรยากาศใหม่ๆ ก็อาจช่วยลดความรู้สึกกดดันและความเครียดทั้งใจชีวิตและการงานได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานที่ดีขึ้น
- เปิดพื้นที่สู่ไอเดียใหม่ๆของคนทำงาน
สำหรับลักษณะงานที่มีความยืดหยุ่นสูงและไม่ยึดโยงกับสถานที่ เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ครีเอทีฟ คนทำงานออนไลน์ ฯลฯ การทำงานรูปแบบ workation เป็นครั้งคราวช่วยตอบโจทย์เรื่องการหาไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ
“การได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่าย การทำงานแบบ workation มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่าการอยู่ในออฟฟิศที่หลายคนอาจรู้สึกอึดอัดกับกรอบกติกาขององค์กร พนักงานเลือกบรรยากาศสถานที่ทำงานได้ เลือกคนที่จะพบปะพูดคุยได้ ความรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจในการจัดการชีวิตและพื้นที่ทำงาน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายสบายและมีส่วนให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นได้”ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว
- คำตอบของ “คนบ้างาน” รู้สึกผิดที่ลาพักผ่อน
ดร.เจนนิเฟอร์ อ้างถึงการศึกษาหนึ่งที่เผยว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยยอมใช้สิทธิ์วันลา เนื่องจาก “รู้สึกผิดที่จะลา(พักผ่อน)” ซึ่งมีคำเรียกทางจิตวิทยาว่า “Vacation Guilt”
“ผู้ที่เป็นแบบนี้มักกลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะหาว่าขี้เกียจ รู้สึกผิดว่ากำลังโยนงานให้เพื่อนร่วมงาน และเมื่ออยู่ระหว่างวันลา ก็รู้สึกผิดหากจะไม่ตอบอีเมลหรือตอบไลน์ของเพื่อนหรือหัวหน้า workation จึงเป็นรูปแบบการทำงานที่จะช่วยลดความรู้สึกผิดของคนกลุ่มนี้ได้ระดับหนึ่ง เพราะได้ทำงานไปด้วยแม้จะเปลี่ยนสถานที่และมีเวลาหย่อนใจบ้าง”
- ทางออกจากความจำเจของ Work from Home
สำหรับหลายคน การทำงานที่ออฟฟิศอาจจะดูจำเจแล้ว แต่การทำงานที่บ้านจำเจและน่าเหนื่อยล้ายิ่งกว่า ดร.เจนนิเฟอร์ ขยายความว่า “การใช้ชีวิตติดบ้านแบบ 24 ชั่วโมงตลอดสัปดาห์ หรือเกือบตลอดทั้งเดือน อาจทำให้หลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้ามากขึ้น เพราะนอกจากจะต้องทำงานตามหน้าที่แล้ว ยังอาจต้องดูแลรับผิดชอบงานบ้านไปด้วย พร้อมกับดูแลลูกหลานในการเรียนออนไลน์ ดูแลพ่อแม่สูงวัย เป็นต้น ดังนั้น การออกไปทำงานต่างสถานที่แบบ workation บ้าง จะช่วยให้พนักงานได้พักจากความเหนื่อยล้าและมีชีวิตชีวามากขึ้น”
- แม้มี Workation ก็ต้องมีวันลาหยุดจริงๆ
โลกเทคโนโลยีเปิดกว้างให้เราทำงานได้อย่างไร้ข้อจำกัดของสถานที่และเวลา ประมาณว่า “ทำงานที่ไหน เมื่อไรก็ได้” ชีวิตและพื้นที่การทำงานจึงขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นและบ่อยครั้งก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน จนเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า Work-Life Blur ซึ่งหากไม่ดูแลให้สมดุลก็จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตของคนทำงานและส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานได้
“มีงานวิจัยที่ระบุว่า Work-Life Blur นำไปสู่ปัญหาความเครียด ความรู้สึกล้า ความเหนื่อยหน่ายทางอารมณ์ ซึ่งเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ จะเป็นเหตุให้คนทำงานเกิดภาวะหมดไฟ หรือ Burnout Syndrome ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานในที่สุด” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว
ดร.เจนนิเฟอร์ เน้นว่ามนุษย์ทำงานยังต้องการเวลาที่จะ “ปิดสวิตช์” จากงานและหยุดพักผ่อนอย่างจริงจัง โดยไม่มีเรื่องงานเข้ามาพัวพัน
“องค์กรต้องมีวันหยุด (Vacation) ให้กับพนักงานได้พักจากงานจริงๆ โดยที่พนักงานต้องไม่รู้สึกผิดที่ขอลาหยุดและต้องไม่มีการพกงานไปทำระหว่างวันลา และไม่ใช่ workation ที่ยังคงมีเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบ”
- ออกแบบการทำงานตามไลฟ์สไตล์
แนวโน้มในอนาคตจะมีรูปแบบการทำงานที่หลากหลายขึ้น โดยองค์กรและพนักงานอาจตกลงร่วมกันที่จะทำงานที่สำนักงาน ที่บ้าน (work from home) นอกสถานที่ (workation) ตลอดจาการทำงานแบบลูกผสมหรือไฮบริด (hybrid) ขึ้นกับความเหมาะสมของลักษณะงานและเงื่อนไขชีวิตของพนักงาน
“ผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็อาจเลือกทำงานที่บ้านเพื่อที่จะได้ดูแลลูกที่บ้านไปด้วย หรือผู้ที่ต้องดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุในบ้านก็สามารถเลือกทำงานที่บ้านได้ ส่วนคนที่สภาพแวดล้อมที่บ้านไม่เอื้อในการทำงานก็มาทำงานที่ออฟฟิศได้ หรือองค์กรอาจเปิดโอกาสให้มีการทำงานแบบไฮบริด คือทำงานได้ทั้งที่สำนักงาน ที่บ้าน และนอกสถานที่”
ดร.เจนนิเฟอร์ ให้ข้อคิดว่า “การให้สิทธิ์พนักงานออกแบบรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ชีวิตของเขาด้วยจะมีส่วนช่วยให้พนักงานรู้สึกเติมเต็มและมีความสุขมากขึ้นในการทำงานและใช้ชีวิต เป็นผลดีกับทั้งองค์กรและพนักงานเอง แต่ก็เรื่องท้าทายขององค์กรที่จะดูแลเงื่อนไขชีวิตของพนักงานและดูแลประสิทธิผลการทำงานในเวลาเดียวกัน”
- ความเข้าใจและข้อตกลงร่วมคือสิ่งสำคัญ
ดร.เจนนิเฟอร์ แนะว่าองค์กรควรทำความเข้าใจลักษณะการทำงานแบบ workation และอื่นๆ เพื่อสนับสนุนพนักงานให้ทำงานและดำเนินชีวิตได้ราบรื่นขึ้น
“องค์กรที่สนับสนุนรูปแบบการทำงานแบบ workation ควรต้องวางแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างชัดเจนว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอระหว่างหัวหน้าและทีมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน นอกจากนี้ workation ยังมีประเด็นเรื่อง ”ค่าใช้จ่าย” เข้ามากี่ยวข้องด้วย เช่น ค่าเดินทาง ที่พัก และค่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ค่าโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งเรื่องนี้ ทั้งพนักงานและองค์กรต้องตกลงกันว่าเป็นความรับผิดชอบของใครและอย่างไร” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว
ที่สำคัญ เมื่อพื้นที่ทำงานเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ทั้งที่บ้านและนอกสถานที่ (workation) องค์กรต้องไม่ปนกับสิทธิ์การลาพักเพื่อลดความเครียดและประสิทธิภาพการทำงานที่ดีในระยะยาว
ไม่ว่าพนักงานและองค์กรจะเลือกรูปแบบการทำงานใด สิ่งสำคัญคือทำความเข้าใจและสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อ “งานก็ดี คนก็มีสุข”