สั่ง 50 เขตเปิด "ศูนย์พักคอยฯ" เพิ่ม พร้อมรับผู้ป่วย "โควิด" ยอดพุ่ง
กทม.สั่ง 50 สำนักงานเขต พร้อมเปิด "ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อฯ" รับผู้ติดเชื้อ "โควิด" แนวโน้มเพิ่ม หากมีผู้ป่วยครองเตียงเกิน 80 %
วันที่ 15 ก.พ. พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)
ในที่ประชุม สำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ กทม.ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงการเตรียมพร้อมสถานพยาบาลเพื่อผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยในวันนี้ (15 ก.พ.) พบผู้ป่วยโควิดรายใหม่ จำนวน 3,180 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิต 8 ราย
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-13 ก.พ.ที่ผ่านมา พบการระบาดในสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล – มัธยมศึกษาหลายแห่ง โดยพบผู้ติดเชื้อทั้งในกลุ่มครู นักเรียน และกลุ่มนักเรียนที่เก็บตัวฝึกซ้อมในโรงเรียน จากการสอบสวนโรคพบว่า สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงในการระบาด ได้แก่ การติดเชื้อจากบุคคลในครอบครัว การติดเชื้อของครูผู้สอน การติดเชื้อจากจุดสัมผัสที่ใช้ร่วมกันห้องน้ำ และการทำกิจกรรมร่วมกันโดยที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย
ขณะเดียวกันยังพบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการรับประทานอาหารร่วมกัน การดื่มน้ำจากกระติกเดียวกัน และการรวมกลุ่ม พูดคุยโดยไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย การติดเชื้อในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ปัจจัยเสี่ยงเกิดจากผู้ที่มาจากข้างนอกศูนย์ฯ สัมผัสเชื้อหรือติดเชื้อ และนำมาแพร่สู่ผู้สูงอายุในศูนย์ โดยขณะนี้มีอัตราผู้ป่วยครองเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักการแพทย์ ร้อยละ 94.38 โรงพยาบาลสนาม ร้อยละ 83.68 Hospitel ร้อยละ 100 และศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ ร้อยละ36.28
ในที่ประชุมยังรายงานข้อมูลการให้บริการวัคซีนกับกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์) เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและการเกิดอาการรุนแรงของโรค ไปแล้วกว่า 2,214,467 คน แบ่งเป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ90.72 เข็มที่ 2 ร้อยละ 82.69 และเข็มที่ 3 ร้อยละ 41.02
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีแนวโน้มผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ 50 สำนักงานเขต พิจารณาเปิดศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อเพิ่มเติม ในกรณีที่ศูนย์พักคอยฯซึ่งเปิดดำเนินการอยู่แล้วมีจำนวนผู้ป่วยครองเตียงมากกว่า ร้อยละ 80 และให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบช่องทางการติดต่อ หากพบว่าตนเองติดเชื้อ โดยสามารถโทรแจ้งได้ที่สายด่วน สปสช.1330 กด 14 และศูนย์EOC ของ 50 สำนักงานเขต ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้แก่สถานบริการที่แจ้งความประสงค์ปรับรูปแบบร้านเป็นร้านอาหารและได้รับอนุญาตแล้ว จำนวน 483 แห่ง ให้เข้ารับการประเมินมาตรฐาน Thai Stop Covid2Plus เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนหรือผู้มาใช้บริการ