เงินเฟ้อติดลบ..ยังไม่ใช่สัญญาณเงินฝืด?

เงินเฟ้อติดลบ..ยังไม่ใช่สัญญาณเงินฝืด?

(รายงาน) "ประสาร"ส่งหนังสือชี้แจง"สมหมาย" เงินเฟ้อติดลบ...ยังไม่ใช่สัญญาณเงินฝืด

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เนื่องจากต่ำกว่าขอบล่าง ของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยก่อนหน้านั้นนายสมหมายแสดงความเห็นต้องการให้ธปท.ลดดอกเบี้ย มีรายละเอียดดังนี้

ตามที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2557 ที่ผ่านมาว่า ในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปรายปีในปี 2558 เคลื่อนไหวออกนอกป้ายหมาย 2.5% บวกลบ 1.5% ให้ กนง. ชี้แจงสาเหตุ แนวทางดำเนินการ และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อ จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะข้างหน้านั้น

ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันขายปลีกปรับลดลงต่อเนื่อง และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบในเดือนม.ค. ที่ผ่านมา แม้ยังไม่ถือว่าออกนอกกรอบเป้าหมาย ซึ่งกำหนดให้เป็นค่าเฉลี่ยรายปี แต่ กนง. มีความเห็นว่า ควรจะสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน และชี้แจงต่อกระทรวงการคลัง เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของการรักษากรอบดำเนินนโยบายการเงิน และเพื่อช่วยยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชน

คำชี้แจง ระบุว่า นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2557 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การขุดเจาะน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) และท่าทีของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ที่จะไม่ลดกำลังการผลิต เพื่อพยุงราคาน้ำมัน ในขณะที่อุปสงค์ในตลาดโลกยังขยายตัวข้าตามการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจโลก การลดลงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงต่อเนื่องเช่นกัน

ล่าสุดในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.41% และจากการประเมินของ กนง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา คาดว่ามีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะติดลบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 ของปีนี้ หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม กนง. เห็นว่า เงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืดไม่กระทบเสถียรภาพการเงิน และจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจาก...

1.การปรับลดของราคาไม่ได้เกิดขึ้นในทุกประเภทสินค้าและบริการ โดยราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากราคาพลังงาน ยังคงมีทิศทางเพิ่มขึ้นตากปกติ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นบวกทั้งในปัจจุบัน และแนวโน้มในระยะข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับผลการประเมินของ กนง.ว่า อุปสงค์ในประเทศจะขยายได้ต่อเนื่องในปี 2558 และ 2559

2. การลดลงของราคาน้ำมันเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิทำให้ต้นทุนการผลิต และการขนส่งลดลง รวมทั้งผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายลดลง ซึ่งจะสนับสนุนให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศเข้มแข็งมากขึ้น

3. อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อ จากการสำรวจอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหลายสำนัก ที่รวบรวม โดย Consensus Economics ณ เดือนม.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่า แม้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะสั้น มีแนวโน้มปรับลดลง แต่ในระยะ 6 ไตรมาสข้างหน้ายังอยู่ที่ 2.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สาธารณชนมีความเข้าใจว่า สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว

นอกจากนี้ กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเป็นบวก ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้ และเข้าสู่กรอบล่างของกรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้ ตามคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่จะเพิ่มขึ้นจากการทยอยปรับลดลงของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ตอบสนองต่อราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จะทำให้อุปสงค์น้ำมันของโลกเพิ่มขึ้น และคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติ ซึ่งจะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อจากอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ดี การประเมินแนวโน้มข้างต้น อาจมีความเสี่ยงอยู่ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะต่ำกว่าประมาณการหากราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำกว่าที่คาด การปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกต่ำกว่าที่คาด และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยล่าช้าออกไป

ทั้งนี้รายละเอียดการประมาณการอย่างเป็นทางการ จะปรากฏในรายงานนโยบายการเงินเดือนมี.ค.นี้

แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง. ให้ความสำคัญกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืน ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคา และการดูแลการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ทั้งนี้กนง. ตระหนักว่า โดยปกติผลของนโยบายการเงินต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ จะต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 ไตรมาส กว่าจะมีผลเต็มที่ ดังนั้นในการพิจารณานโยบาย กนง. จะให้ความสำคัญกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะ 1-2 ปีข้างหน้ามากกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน รวมทั้งให้ความสำคัญกับแรงกดดันจากด้านอุปสงค์ต่อราคาสินค้าและบริการโดยรวมมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเฉพาะบางกลุ่ม อันเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งไม่ได้ขึ้นกับนโยบายการเงิน

ในกรณีปัจจุบัน กนง. เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายไปอีกระยะหนึ่ง เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลง เมื่อราคาน้ำมันกลับสูงขึ้นตามการปรับสมดุลของตลาดโลก ซึ่งคาดว่า จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีแนวโน้มสูงขึ้นและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาส 4 ที่สำคัญ กนง. พิจารณาว่า การลดลงของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในครั้งนี้ เป็นผลของปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งมีผลดีในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และมิได้สร้างความกังวล เช่นในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง เพื่อภาวะอุปสงค์ซบเซา สอดคล้องกับข้อเท็จจริงว่า ในปัจจุบันยังไม่มี ข้อมูลใด ที่ชี้ให้เห็นว่า สาธารณชนคาดว่า ราคาสินค้าและบริหารโดยรวม จะลดลงต่อเนื่อง จนทำให้ตัดสินใจเลื่อนการบริโภคและการลงทุนออกไป

นอกจากนั้น นโยบายการเงินที่อยู่ในระดับผ่อนปรนในปัจจุบัน จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู้กรอบเป้าหมายภายในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม กนง.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมจำดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

..........

กนง.ประเมินเงินเฟ้อลดลง

คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ประมาณการอัตราเงินเฟ้อครั้งล่าสุดในรายงานนโยบายการเงินเดือนธ.ค. 2557 ระบุว่าประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงเล็กน้อยในปี 2558 ตามอุปสงค์ที่ต่ำลงตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้าออกไป สะท้อนจากช่องว่างการผลิต (Output Gap) ที่คาดว่าจะยังไม่ปิดไปตลอดช่วงประมาณการ และเมื่อรวมกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงมากเมื่อเทียบกับรายงานฉบับก่อนตั้งแต่ปลายปี 2557 ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจึงปรับลดลงตลอดช่วงประมาณการ

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสมดุลตลอดช่วงประมาณการ สอดคล้องกับแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่สะท้อนจากความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สมดุล และแรงกดดันด้านต้นทุนจากราคาน้ำมันดูไบในระยะข้างหน้าที่คาดว่าจะสมดุล