กองหนุนลด-กองแช่งเพิ่ม โจทย์ใหญ่ 'ประยุทธ์' บนลู่การเมือง
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม นำพารัฐบาลเลือกตั้งผ่านมา 2 เดือนกว่า พิสูจน์ตัวตน-ความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะ 5 ปีบนบัลลังค์ “หัวหน้าคสช.” ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ไม่สามารถวัดอะไรได้
ภายใต้อำนาจพิเศษ มาตรา44 การบริหารรวมศูนย์อำนาจ ไม่มีการตรวจสอบจากกลไกต่างๆ แม้จะมี “องค์กรอิสระ” คอยตรวจสอบอยู่บ้าง แต่การทำหน้าที่ก็ไม่ได้อิสระอย่างชื่อ เมื่อทุกอย่างเข้าสู่กลไกปกติ พล.อ.ประยุทธ์ จึงตกเป็นเสือลำบาก
โดยปกติแล้วภายหลังจัดตั้งรัฐบาล จะมีช่วงฮันนีมูนอยู่ประมาณ 2-3 เดือน เพื่อทำคลอดนโยบายต่างๆ การทำงานในช่วงโค้งแรกไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส ให้ “รัฐบาล” ต้องลำบากใจ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลชุดไหนเริ่มงานได้เร็ว ก็จะมีแต้มต่อมากขึ้นเท่านั้น
ทว่า “รัฐบาลลุงตู่ 2” ฉีกทฤษฎีทิ้ง เพราะการบริหารราชการผ่านมาแค่ 2 เดือน กระแสตีกลับพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล ที่ถูกมองว่าหลายนโยบายของ “พรรคร่วมรัฐบาล” พอเข้าเป้าอยู่บ้าง ตรงกันข้ามกับภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับดิ่งลงเหว
ปัญหาใหญ่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ “คำพูด” ที่มักจะกลับมา “ทำร้าย-ทิ่มแทง” ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ เสียเอง ส่งผล “พรรคฝ่ายค้าน” นำไปใช้ปลุกกระแสในโลกโซเชียลมีเดีย “รัฐบาลขาลง” จนกลายเป็นเทนด์ติดกระแส ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วีรกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้รัฐบาลถูกกระแสตีกลับเยอะมาก แม้ออกมาแก้ข่าวกลับลำทีหลัง แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว โดยเฉพาะประเด็นการใช้"กูเกิ้ล"ของคนไทย แม้อาจจะพยายามสื่อสารว่า คนไทยไม่ตรวจสอบข่าวสาร ด้วยการค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเชื่อ แต่การใช้คำสื่อสารผิดพลาด แถมไปพูดไกลถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้ถูกกระแสถล่มด่าคนไทยให้ฝรั่งฟัง
เมื่อมาผนวกกับท่าทีของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาจัดหนัก-จัดเต็ม เชื่อมโยงขบวนการของการเมือง “ขั้วตรงข้าม” ที่มีจุดยืนอยู่คนละฝั่งกับ “รัฐบาล-กองทัพ”
พล.อ.อภิรัชต์ ปรับบทบาทจาก “ทหารอาชีพ” มาเป็น “ทหารวิชาการ” เลคเชอร์ประวัติศาสตร์การเมือง-การทหาร เชื่อมโยงทุกขบวนการเข้าด้วยกัน สาดโคลนใส่ “ขั้วตรงข้าม” จนถูกมองว่าทหาร “เสียมารยาท” ที่เข้ามาวุ่นวายกับการเมือง
โดนกระแสตีกลับนำไปเปรียบเทียบกับ “ผู้นำทางการทหาร” ของประเทศอื่น ที่จะเลือกวางตัวไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง และมักจะหลีกเลี่ยงการพูดกระทบกระทั่งฝ่ายการเมือง ผิดกับท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เปิดเวทีแบบเตรียมสคริปมาก่อน
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.อภิรัชต์ พูดมากขึ้นเท่าไร ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ “กองหนุน-กองเชียร์” ลดน้อยถอยลง
ก่อนหน้า “พุทธะ อิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ซึ่งเคยนับถือกันเป็น อาจารย์-ลูกศิษย์ กันมาก่อน ยังออกมาตำหนิว่า“ปากของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำคนเบื่อ พูดทีไรก็สะท้อนความไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ ทำจนประชาชนสัมผัสความดีไม่ได้ และตัว พล.อ.ประยุทธ์ คือจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาล”
ล่าสุด “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” พูดในงานเสวนาเปิดตัวหนังสือของ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกกต. เรื่องกกต. ม.44 เชิงอรรถการเมืองไทย2556ถึง 2561 เนื้อหาบางส่วนระบุว่า หนังสือทำให้รู้ว่า กปปส. เลวร้ายกว่าที่คิด
แม้ “เจิมศักดิ์” จะออกตัวว่า ถูกตัดต่อคำพูด แต่การพูดสองแง่สามง่าม ทำให้ถูกตีความได้ว่า “ปีกกปปส.” บางส่วน ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางของ “กปปส.” ทั้งหมด และมีหลายคนคิดต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังไม่เปิดตัวมากนัก ขับเคลื่อนอยู่ในปีกวิชาการมากกว่า
สัญญาณจาก พุทธะอิสระ-เจิมศักดิ์ บ่งบอกได้ดีว่า ยามนี้ “กองหนุน-กองเชียร์” ของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะไม่มีเพิ่มแล้ว คนเคยรัก จำต้องหลบฉากขออยู่เฉยๆ ไม่ได้ทอดทิ้ง จนไป หนุน-เชียร์ ขั้วตรงข้าม เพียงแต่ไม่ได้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ สุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนแต่ก่อน
เมื่อไม่ได้ “กองหนุน-กองเชียร์” เพิ่ม แต่กลับต้องเสียฐานเดิมไป ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และหากปล่อยเวลาผ่านนานไป หากถึงยามคับขันจำเป็นต้องอาศัยแรงของ “กองหนุน-กองเชียร์” เพื่อมาทัดทาน ขั้วตรงข้าม ก็อาจจะสายเกินแก้
หากย้อนกลับไปฟังคำพูดของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยเตือน พล.อ.ประยุทธ์ไว้เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2560 ว่า "เชื่อว่าขณะนี้นายกรัฐมนตรี ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่หากแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความปรารถนาดี จะทำให้มีคนสนับสนุนมากขึ้น”
ภาพการเข้าอวยพรปีใหม่ แด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2561
และเตือนอีกครั้ง เมื่วันที่ 27 ธ.ค.2561 ว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ผมคิดว่าถ้านักการเมือง ที่เรียกว่า ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม ต้องพูดว่า เห็นต่างกันด้วยความเป็นมิตรจะดีมาก เพราะทุกคนเป็นมิตรกันและเห็นต่างกันแค่นั้น”
“ขอให้นายกฯ เห็นว่าฝ่ายค้านเห็นต่าง ก็เห็นต่างอย่างนี้มิตร แต่อย่าเห็นต่างเป็นศัตรูกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ ขอให้คิดว่าความเห็นต่างต้องมี แต่มีอย่างมิตร ขอให้นายกฯ ช่วยทำตรงนี้ อย่าเห็นต่างกับฝ่ายค้าน เห็นต่างกันอย่างมิตรเป็นสิ่งที่น่าจะนำไปใช้”
“พล.อ.เปรม” อ่านเกมขาด เพราะยิ่งนานวัน “กองหนุน-กองเชียร์” ของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มจางหาย แม้จะมั่นใจว่าทุกองคาพยพในกระดานการเมือง ได้วางคน-วางหมากไว้หมดแล้ว แต่เกมของ “พรรคฝ่ายค้าน” ที่โหมกระแสดิสเครดิต-โจมตีเข้ากล่องดวงใจของ องค์กรอิสระ-ศาล เพื่อบ่อนเซาะให้สึกกร่อนลดความน่าเชื่อ ก็เริ่มจะผลิดอกออกผล
ไฟต์บังคับที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องอยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือการรักษา “กองหนุน-กองเชียร์” ไม่ให้ลดน้อยถอยลง จึงต้องคิดรูปแบบการสื่อสารใหม่ โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ที่จะลดน้อยลง พูดน้อยลงเน้นเฉพาะประเด็นหลัก
จะเห็นได้ว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม.ครั้งละไม่ถึง 10 นาที ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง
ขณะเดียวกัน “ทีมงานตึกไทยคู่ฟ้า” พยายามปรับรูปแบบการสื่อสารไปยังประชาชน โดยเพจไทยคู่ฟ้า ได้จัดทำการสำรวจผ่านเพจไทยคู่ฟ้า สอบถามประชาชนในหัวข้อ “อยากเห็น PM Talk เป็นแบบไหน? ขอ 1 ความคิดเห็น” โดยมีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
หลังจากนี้ ต้องจับตารูปแบบการสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถพิชิตใจประชาชนได้หรือไม่ แต่ถึงเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิรูปตัวเองเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ผลลัพธ์ ว่าจะออกมาอย่างไร