ศาลสั่งปรับ 'ฟิลลิป มอร์ริส' กว่า 1.2 พันล้าน เลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่นอก ปี46-49

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรนำเข้าบุหรี่ หมายเลขดำ อ.1852559 พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทฟิลลิป มอร์ริส ฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่มีนายเจอรัลด์ มาโกลีส ชาวสหรัฐอเมริกา ผู้จัดการสาขา บ.ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด เป็นผู้แทน และพนักงานชาวไทยเป็นชาย 1 คน หญิง 6 คน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-8

ในความผิดฐานร่วมกันเกี่ยวข้องด้วยประการใดๆ ในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากร โดยเจตนาที่จะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 , 115 จัตวา ,พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 11 ) พ.ศ.2490 มาตรา 3 , พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 17 ) พ.ศ.2543 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 มาตรา 4-9 ซึ่งคดีมีอัตราโทษ ตามกฎหมายศุลกากร ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่า ราคาที่รวมค่าอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ทั้งปรับและจำคุก

ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 18 ม.ค.59 บรรยายพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ก.ค.46 - 24 มิ.ย.49 บริษัท ฟิลลิปฯ กับพวก ได้ร่วมกันนำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร (MARLBORO) และยี่ห้อ แอลแอนด์เอ็ม (L&M) เข้ามาในราชอาณาจักร และร่วมกันบังอาจสำแดงเท็จโดยฉ้อโกงและออกอุบายด้วยการยื่นใบขนส่งสินค้าขาเข้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรมศุลกากร เพื่อผ่านพิธีการศุลกากร โดยสำแดงราคาอันเป็นเท็จไม่ตรงตามราคาที่แท้จริงเพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นความผิดทั้งสิ้น 272 ครั้ง โดยรวมราคาของสินค้าบุหรี่บวกกับราคาภาษีอากร ที่หลีกเลี่ยงเป็นเงินทั้งสิ้น 20,210,209,582.50 บาท (สองหมื่นล้าน สองร้อยสิบล้านสองแสนเก้าพันห้าร้อยแปดสิบสองบาทห้าสิบสตางค์)

สำหรับจำเลยศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวไป ด้วยหลักทรัพย์คนละ 1 ล้านบาทโดยวันนี้ จำเลยทั้งแปด ที่ได้รับประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษา ขณะที่ ศาลอาญา พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว ได้พิพากษา สั่งปรับบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำเลยที่ 1เป็น 1,225,990,617 บาท ฐานหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าประเภทบุหรี่ฯ โดยสำแดงเท็จไม่ตรงตามราคาที่แท้จริงส่วนจำเลยที่ 2-8 ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเป็นเพียงลูกจ้าง ที่ลงรายมือชื่อตามหน้าที่ ขณะที่เมื่อเป็นการทำนิติกรรมในต่างประเทศ จำเลยที่ 2-8 ก็ไม่มีส่วนรู้เห็น พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่เพียงพอที่จะลงโทษได้จำเลยที่ 2-8 ได้