ปิดดีลการค้าเฟส 1 ตอกย้ำชัยชนะ 'จีน'
ปิดดีลการค้าเฟส1สหรัฐและจีน ขณะนักวิเคราะห์มองเป็นข้อตกลงการค้าที่ให้ผลบวกระยะสั้น และข้อตกลงนี้ถือเป็นชัยชนะของจีนมากกว่าสหรัฐ
แม้สหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส1 ร่วมกันแล้วท่ามกลางความผิดหวังของเหล่านักวิเคราะห์ที่มองว่าเป็นการบรรลุข้อตกลงที่ให้ผลในระยะสั้นเท่านั้นแต่ในระยะยาว สองชาติมหาอำนาจนี้จะต้องกลับมาดำเนินมาตรการตอบโต้กันด้วยภาษีอีกแน่นอน และนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกเป็นชัยชนะของจีนมากกว่าสหรัฐ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ติดตามได้จากรายงาน
สหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก ครอบคลุมการระงับและลดกำแพงภาษี ตลอดจนให้จีนเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐ เพื่อลดความรุนแรงของข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ ที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 2 ปี
ซึ่งตามข้อตกลงเบื้องต้น สหรัฐจะระงับการขึ้นภาษี 15% ที่มีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์(15ธ.ค.)ที่ผ่านมากับสินค้าจากจีนมูลค่า 160,000 ล้านดอลลาร์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แล็บท็อป ของเล่น และเสื้อผ้า
ในส่วนของจีน ได้ระงับการขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐ โดยมีผลในวันอาทิตย์เช่นกัน และสหรัฐ ยังลดกำแพงภาษีกับสินค้าจีนมูลค่า 120,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา จาก 15% ลงมาอยู่ที่ 7.5%
เจ้าหน้าที่ของสหรัฐ กล่าวว่า จีนจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าและบริการจากสหรัฐเป็นมูลค่ารวมอย่างน้อย 200,000 ล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 2 ปี ในหมวดสินค้าเกษตรและพลังงาน เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ อีกทั้งจีน ยังตกลงที่จะยกระดับกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เลิกกดดันให้บริษัทอเมริกันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทจีน ปกป้องสิทธิพื้นฐานในการทำธุรกิจของบริษัทต่างชาติ และพยายามปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนของจีนเป็นไปตามกลไกของตลาด รวมทั้งยอมเปิดตลาดธุรกิจการให้บริการทางการเงินของจีนให้บริษัทอเมริกันเข้าถึงมากขึ้น
เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นปีก่อนหน้าเกิดสงครามการค้า จีนซื้อสินค้าจากสหรัฐเป็นมูลค่า 130,000 ล้านดอลลาร์และบริการมูลค่า 56,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตร เป็นข้อเรียกร้องที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ความสำคัญมากที่สุด
ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามในสิ่งที่ลงนามกันไว้ คู่สัญญาจะระงับข้อพิพาทด้วยการปรึกษาหารือ โดยเริ่มจากกลไกระดับผู้ปฏิบัติจนขึ้นไปถึงระดับนโยบาย และถ้ายังหาข้อสรุปด้วยการหารือไม่ได้ จึงใช้ช่องทางอื่นๆที่นำไปสู่การขึ้นภาษี หรือมาตรการลงโทษอื่นๆ
แต่ข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่มีความชัดเจนมากพอในสายตาของเหล่านักลงทุนในตลาด ส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดวานนี้ (16ธ.ค.)ร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนรอดูรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากที่ความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงดังกล่าวได้หนุนให้ตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 2.57% เมื่อวันศุกร์ (13ธ.ค.)ที่ผ่านมา โดยดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 27,508.09 จุด ลดลง 179.67 จุด, -0.65%
ส่วนดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดตลาดร่วงลง 70.75 จุด หรือ 0.29% แตะที่ระดับ 23,952.35 จุด โดยหุ้นที่ปรับตัวลงในวันนี้นำโดยหุ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มขนส่งทางทะเล และกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ
สวนทางกับตลาดหุ้นยุโรป ที่เปิดตลาดปรับตัวขึ้น โดยดัชนี Stoxx Europe 600 เปิดที่ 412.91 จุด เพิ่มขึ้น 0.89 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส เปิดที่ 5,946.65 จุด เพิ่มขึ้น 27.63 จุด, +0.47% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน เปิดที่ 13,349.86 จุด เพิ่มขึ้น 67.14 จุด, +0.51%
นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทางการค้า มีความเห็นว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนฉบับนี้เป็นชัยชนะของจีนมากกว่าสหรัฐ โดย"สกอตต์ พอล" ประธานพันธมิตรผู้ผลิตอเมริกัน ให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน แถมยังลดภาษีกับสินค้าบางรายการ เท่ากับสหรัฐเสียแต้มต่อที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการเจรจากับจีน
สอดคล้องกับ “แมรี เลิฟลี” นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน ที่ให้ความเห็นว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก เป็นชัยชนะเพียงบางส่วนของสหรัฐเท่านั้น ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปมากนัก คณะผู้แทนเจรจาการค้าของทั้ง2ประเทศเพียงแค่บรรลุข้อตกลงที่ช่วยรั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้ง2ประเทศตกเหว แต่สิ่งที่ได้กลับไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรและธุรกิจอเมริกัน และดูเหมือนประธานาธิบดีทรัมป์ จะพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับไปเหมือนช่วง 18 เดือน ก่อนที่สงครามการค้ายังไม่เกิด
“สกอตต์ เคนเนดี ”ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน มีความเห็นว่า จีนเองก็ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐแต่เป็นการยอมอ่อนข้อให้อย่างจำกัดเท่านั้น ทำให้สามารถเดินหน้าระบบเศรษฐกิจแบบเปิดและนโยบายอุตสาหกรรมแบบเลือกปฏิบัติที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศคู่ค้าและเศรษฐกิจโลกได้ต่อไป