'ไวรัสโคโรน่า' พ่นพิษ ศก.ไทย ท่องเที่ยวส่อพลาดเป้า 3.38 ล้านล้านบาท

'ไวรัสโคโรน่า' พ่นพิษ ศก.ไทย ท่องเที่ยวส่อพลาดเป้า 3.38 ล้านล้านบาท

'ไวรัสโคโรน่า' ป่วนเป้ารายได้ท่องเที่ยวไทย 3.38 ล้านล้านบาทปีนี้สะดุด สะเทือนเศรษฐกิจไทย ฉุดตลาดจีนเที่ยวไทย 5.5 แสนล้าน กระทรวงท่องเที่ยวฯ-ททท.เร่งถกภาคเอกชน ปรับแผนการตลาดรับมือ หารือครม.เศรษฐกิจผุดมาตรการกระตุ้นด่วน 

เดือนแรกของปี 2563 ยังไม่ทันจะจบดี แต่มีอุปสรรคใหม่เข้ามาฉุดสถานการณ์เศรษฐกิจไทย นั่นคือการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ติดต่อจากคนสู่คนในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2562 พิษโรคลามไปยังอีกหลายประเทศพบผู้ติดเชื้อ รวมถึงในไทย ตรงกับวันหยุดยาวหรือโกลเด้นวีคเทศกาลตรุษจีน ตั้งแต่วันที่ 24-30 ม.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวจีนนิยมเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเฉลิมฉลองวาระมงคล

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าจึงส่งผลกระทบต่อรายได้ท่องเที่ยวไทย ซึ่งถือครองสัดส่วน 18-20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีในปัจจุบัน และยังรั้งตำแหน่งความหวังของเศรษฐกิจไทยในการขับเคลื่อนจีดีพีให้เติบโตตามเป้าหมาย ภายใต้สถานการณ์รายได้จากภาคส่งออกยังชะลอตัวจากพิษเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า

  • พลาดเป้าตรุษจีน 8.4 พันล้าน

ย้อนไปยังช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน ทั้งภาครัฐและเอกชนท่องเที่ยวไทยต่างมองว่าการแพร่ระบาดของโรคนี้จะยังไม่กระทบต่อภาคท่องเที่ยวไทย ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวจีนเดินทางมาเยือนมากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ เนื่องจากทางการจีนไม่ได้ประกาศห้ามชาวจีนเดินทางออกต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ได้จ่ายค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวแล้ว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จึงคาดการณ์ว่ากระแสตลาดจีนเที่ยวไทยน่าจะยังปกติ มีจำนวนชาวจีนเดินทางมาประมาณ 3 แสนคนช่วงโกลเด้นวีคตรุษจีน สร้างรายได้สะพัดกว่า 8.4 พันล้านบาท

กระทั่งวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา สถานการณ์เกิดบานปลาย ส่งผลให้กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของสาธารณรัฐประชาชนจีน ออกประกาศด่วนตามคำสั่งของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพื่อหยุดการระบาดของโรคปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่ ระบุคำสั่งให้บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศจีน หยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว หยุดขายผลิตภัณฑ์ตั๋วเครื่องบินและโรงแรม ส่วนทัวร์ที่เดินทางออกไปแล้ว ขอให้ดำเนินการให้เรียบร้อย พร้อมระมัดระวังและคำนึงถึงสถานการณ์สุขภาพของนักท่องเที่ยวแต่ละคน

คำสั่งนี้มีขึ้นก่อนวันตรุษจีน (25 ม.ค.) ถือเป็นการดำเนินมาตรการเฉพาะกิจขั้นเด็ดขาด เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจรุนแรงเท่าโรคซาร์สเมื่อปี 2546

  • จีนนักท่องเที่ยวใหญ่สุดของโลก-ไทย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า จากการดำเนินมาตรการนี้ของทางการจีน จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นตลาดที่เดินทางไปต่างประเทศมากที่สุด ใช้จ่ายในต่างแดนรวม 1.3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 3.97 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2561

ด้านข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า เฉพาะตลาดจีนเที่ยวไทยปี 2562 ที่ผ่านมา ยังคงติดอันดับ 1 ทั้งในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ ด้วยจำนวน 11 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็น 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 39.7 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.2% ตามรายงานสถิติเบื้องต้นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

อ่านข่าว
‘สี จิ้นผิง’ สั่งเด็ดขาดรับมือไวรัสโคโรน่า ล่าสุดพบผู้ป่วยเด็กที่สุดเพียง 2 ขวบ

  • จีนเที่ยวไทยดันรายได้ 5.5 แสนล.ปี 62

ขณะที่รายได้ตลาดจีนเที่ยวไทยอยู่ที่ 5.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้ท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศ 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.05% จากปีก่อน มีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้รายได้รวมท่องเที่ยวไทยจากทั้งตลาดในและต่างประเทศทะลุ 3.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37%

  • ททท.ปรับเป้า-แผนตลาดรับมือ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า แม้จะเพิ่งเริ่มต้นปี 2563 ได้แค่เดือน ม.ค. แต่ ททท.ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายนักท่องเที่ยว แผนการตลาด และแนวทางการทำงานตลอดปีนี้ใหม่จากที่เคยวางแผนไว้ เพราะมีหลายปัจจัยลบเกิดขึ้น โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จนมีคำสั่งจากนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ให้บริษัทนำเที่ยวหยุดนำนักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศ เพื่อระงับการแพร่เชื้อไวรัสดังกล่าว

  • ตั้งเป้าต่างชาติเที่ยวไทยเข็นจีดีพี

"หากคำสั่งยุติการทำทัวร์ออกต่างประเทศของทางการจีนใช้ระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่ช่วงตรุษจีนจนถึงเดือน เม.ย.นี้
เบื้องต้น ททท.ประเมินว่าตลาดจีนเที่ยวไทยจะหายไปกว่า 1.89 ล้านคน คิดเป็น 70% ของคาดการณ์เดิม
2.7 ล้านคนในช่วงสามเดือนดังกล่าว ทำให้ ททท.ต้องปรับเปลี่ยนแผนการทำตลาดหลายชั้นจากที่เคยวางไว้"

เดิม ททท.ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2563 ไว้ที่ 40.78 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.5% จากปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ 2.03 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% แต่เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ต้องการให้จีดีพีของไทยปีนี้ขยายตัว 3-4% ททท.จึงต้องปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 41.8 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 1.02 ล้านคนจากเป้าหมายเดิม เพื่อสร้างรายได้ 2.22 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ตั้งเป้าเป็นนักท่องเที่ยวจีน 12 ล้านคน รายได้นักท่องเที่ยวจีนมาไทย 5.8-6 แสนล้านบาท

  • ททท.ถกด่วนเอกชนพรุ่งนี้

ขณะที่ตลาดไทยเที่ยวไทย คาดว่าจะเติบโตเป็น 172 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 3% สร้างรายได้ 1.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อรวมกับเป้ารายได้ตลาดต่างประเทศแล้ว หากทำได้ตามเป้า ไทยจะมีรายได้ท่องเที่ยวรวมที่ 3.38 ล้านล้านบาท ซึ่งตอนนี้คงยึดตามตัวเลขนี้ ก่อนจะประเมินผลกระทบตลาดจีนเที่ยวไทยกันอีกครั้ง

โดยล่าสุด ททท.เตรียมประชุมด่วนร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยววันที่ 28 ม.ค.2563 เวลา 10.00 น. ที่อาคารสำนักงานใหญ่ ททท. และจะนำประเด็นนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ด้วย พร้อมกับข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว

  • ศูนย์วิจัยฯคาดท่องเที่ยวหด 0.5-2%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปีนี้ อาจลดลงเหลือ 10.77-10.94 ล้านคน หดตัว 0.5-2% โดยมองว่าผลกระทบจากกรณีนี้จะส่งผลจำกัดต่อภาคท่องเที่ยวไทย เนื่องจากทางการจีนมีระบบการจัดการที่รวดเร็วและเข้มข้น ประกอบกับวิวัฒนาการทางการแพทย์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น และการสื่อสารที่ทั่วถึงทำให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยง จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้ ทำให้ผลกระทบต่อตลาดจีนเที่ยวไทยอาจจะยังไม่ยกระดับเท่ากับการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส

สอดคล้องกับ นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า เบื้องต้นแอตต้ายังมองว่าทางการจีนจะใช้ระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้เพื่อระงับการแพร่ระบาดของโรค หลังใช้ยาแรงอย่างการออกคำสั่งให้บริษัทนำเที่ยวยุติการทำทัวร์พาชาวจีนออกนอกประเทศ โดยแอตต้าหวังว่าทางการจีนจะควบคุมโรคได้ดีและรวดเร็วกว่าตอนเกิดโรคซาร์ส

  • ชี้จีนมาไทยส่อหลุดเป้า 12 ล้านคน

"อย่างไรก็ตาม แอตต้าคาดการณ์ว่าในช่วง 2 เดือนนี้ นักท่องเที่ยวจีนจะหายไปราว 1.2-1.3 ล้านคน สูญเสียรายได้กว่า 5.2 หมื่นล้านบาท โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) นักธุรกิจ นักศึกษา และกลุ่มเดินทางเยี่ยมญาติ ซึ่งมีสัดส่วน 50% ของตลาดจีนเที่ยวไทยทั้งหมด และยังเดินทางไปต่างประเทศได้ ไม่ได้มีคนคอยดูแลเหมือนตลาดกรุ๊ปทัวร์ที่หัวหน้าทัวร์และมัคคุเทศก์จะคอยสังเกตอาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินมาตรการคุมเข้มและดูแลนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้ให้ดี"

ทั้งนี้แอตต้ายอมรับว่าโอกาสที่ปีนี้ไทยจะมียอดนักท่องเที่ยวจีนทะลุเป้าหมาย 12 ล้านคนเป็นเรื่องยาก และอาจจะไม่ถึง 11 ล้านคนเหมือนปีที่แล้ว ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนด้านท่องเที่ยวต้องเร่งหามาตรการส่งเสริมมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อรักษายอดนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทยปีนี้ให้อยู่ในระดับ 10 ล้านคน พร้อมหานักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ มาชดเชยในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้

  • ครม.เศรษฐกิจถกผลพวง 31 ม.ค.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การประเมินผลกระทบทางการท่องเที่ยวนั้นต้องดูที่ว่าทางการจีนจะปิดการเดินทางนานแค่ไหน ถ้าปิด 3 เดือนเหมือนเช่นตอนกรณีโรคซาร์ส ก็มีการประเมินว่าจะสูญเสียรายได้ 5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามวันที่ 27 ม.ค.2563 ได้มีการหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เศรษฐกิจในวันที่ 31 ม.ค.2563 เพื่อพิจารณาออกมาตรการรองรับด้านการท่องเที่ยว