ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 1 ราย คนไทยเป็นพนักงานขาย
สธ.เผยพบผู้ป่วยโควิด-19เพิ่ม 1 ราย คนไทยอาชีพพนักงานขาย ขณะที่ประกาศโควิด-19เป็นโรคติดต่ออันตราย มีผลบังคับใช้แล้ว ช่วยเจ้าหน้าที่ทำงานคล่องตัวขึ้น เตรียมแจกหน้ากากอนามัยประชาชน 1 แสนชิ้น เริ่ม 2 มี.ค.นี้ ที่สธ.
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19(COVID-19)ว่า การประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุม เฝ้าระวัง และป้องกันโรคได้คล่องตัวขึ้น เพื่อเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยเป็นหลัก ส่งผลให้การตัดสินใจออกมาตรการต่างได้เร็วขึ้น เช่น ประกาศให้เมืองหรือประเทศใดเป็นเขตโรคติดต่อ ก็จะสามารถสั่งห้ามการเดินทางเข้าออกได้ หรือกรณีการบังคับกักกัน บังคับรักษา หรือกักบริเวณ ภายใต้กฎหมายนี้ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ทันที เป็นต้น อย่างกรณีหากประกาศให้เมืองฮอกไกโด เป็นเมืองโรคระบาด แล้วยังมีคนไทยเดินทางไปอีก เมื่อกลับมาก็จะโดนบังคับกักตัวอยู่ที่บ้าน 14 วันแน่นอน เพื่อคุมโรค
แจกหน้ากาก 1 แสนชิ้น
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 จะมีการแจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนที่กระทรวงสาธารณสุข จำนวนรวม 1 แสนชิ้น โดยแจกให้คนละ 3 ชิ้นไปจนกว่าจะหมด สามารถรับได้ที่กรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 9 กรม แต่อยากขอความร่วมมือบุคลากรสังกดักระทรวงสาธารณสุขอย่ามารับแจก เพราะเป็นบุคคลที่ทำงานด้านสาธารณสุขย่อมรู้แนวทางปฏิบัติในการป้องกันตนเองอยู่แล้ว และขอให้ประชาชนอย่าเวียนมารับแจกหรือมารับแจกเพื่อนำไปขายต่อ แต่ให้รับไปไว้สำรองใช้สำหรับตัวเองเมื่อมีความจำเป็น
ผู้ป่วยยืนยันเพิ่ม 1 คน
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 1 ราย ผู้ป่วยเป็นเพศชาย อายุ 21 ปี อาชีพพนักงานขาย สัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ เริ่มป่วยวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ขณะนี้รับไว้รักษาอยู่ที่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ด้วยอาการไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ ขณะนี้ได้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด ทั้ง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนแล้ว ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 42 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 14 ราย รักษาหายแล้ว 28 ราย สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 2 รายที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว รอร่างกายฟื้นตัว
“ส่วนข้อสงสัยข้อกังวลของประชาชนที่เดินทางไปพื้นที่เสี่ยงกลับมาแล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร ขอความร่วมมือ ต้องสังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้านที่พักจนครบ 14 วัน นับจากวันที่กลับ หลีกเลี่ยงการไปที่สาธารณะที่มีคนอยู่หนาแน่นโดยไม่จำเป็น ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น งดใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ กินร้อนช้อนกลาง หมั่นทำความสะอาดห้องน้ำ ชักโครก ลูกบิดประตู ด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เสื้อผ้า และหากภายใน 14 วัน มีไข้ร่วมกับไอ จาม ให้รีบมาพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง”นายแพทย์สุขุมกล่าว
นายแพทย์สุขุม กล่าวด้วยว่า ในส่วนการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 COVID-19 หากเป็นผู้ที่เข้าข่ายสงสัยฯ ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข ให้ไปรับการตรวจที่ รพ.ตามสิทธิ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่าตรวจ) หากยังไม่มีอาการใด ๆ หรืออาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ ไม่แนะนำให้ไปตรวจเอง หากอยากตรวจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่เข้าข่ายแต่เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่เสี่ยง แม้จะตรวจไม่พบเชื้อ ในครั้งแรกขอให้สังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้าน/ที่พัก จนครบ 14 วัน
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในส่วนของผู้สัมผัสใกล้ชิดของผู้ป่วยยืนยันที่เป็นไกด์นำเที่ยวประเทศเกาหลีใต้นั้น สามารถติดตามได้ครบทั้งหมดแล้ว 10 คน ผลการตรวจไม่พบเชื้อทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่เพจเฟซบุ๊คกรมควบคุมโรคมีการเผยแพร่ตามหาผู้ร่วมเดินทางไฟลท์บินเดียวับผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อที่เป็นปู่ย่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าผลตรวจครบ101คนแล้วไม่พบเชื้อ นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า ผู้ที่ร่วมเดินทางจริงในไฟลท์บินเดียวกันนั้นสามารถติดตามตัวมาตรวจเชื้อและผลออกหมดแล้ว แต่ที่่มีการนำข้อมูลขึ้นเพจอาจเป็นความเข้าใจผิด เพราะเห็นว่าจำนวนผู้ที่เข้ามาตรวจยังไม่ครบตามจำนวนเต็มของที่นั่งบนเครื่องบิน แต่จริงๆเที่ยวบินนั้นไม่ได้มีคนเดินทางเต็มทุกที่นั่ง คนที่ร่วมดินทางจริงตามได้ครบหมดแล้ว