ห่วงศูนย์กลางโควิด19 ‘กลับมาเอเชีย’

ห่วงศูนย์กลางโควิด19 ‘กลับมาเอเชีย’

ศูนย์กลางการแพร่ระบาดเสี่ยงย้ายที่ไปเรื่อยๆ สร้างความท้าทายให้กับระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะเมื่อมีแนวโน้มว่า การระบาดจะย้อนกลับมาสู่เอเชียอีกครั้ง

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เริ่มต้นจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน จากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อสูงมากในเกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี สเปน ข้ามไปสหรัฐ ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเผยว่า ศูนย์กลางการแพร่ระบาดเสี่ยงย้ายที่ไปเรื่อยๆ สร้างความท้าทายให้กับระบบสาธารณสุข

“ศูนย์กลางการระบาดจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ” เตียว ยิก ยิง คณบดีวิทยาลัยสาธารณสุขซอว์ สวี ฮ็อก มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวกับรายการ “สตรีทไซน์ส” สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี เมื่อวันพฤหัสบดี (2 เม.ย.) ตามเวลาสหรัฐ โดยย้ำว่า แม้ขณะนี้สหรัฐจะถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งเกิน 2 แสนคน 

"ภายใน 1 เดือน ศูนย์กลางจะย้าย แล้วจะย้ายไปไหน เอเชียใต้ แอฟริกา หรือละตินอเมริกา ตอนนี้เราไม่รู้หรอก แต่ความเสี่ยงแน่ๆ อยู่ที่ว่าศูนย์กลางการระบาดจะย้ายไปเรื่อยๆ และเป็นไปได้ว่าจะย้ายกลับมาเอเชียตะวันออก"

ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่พบครั้งแรกในเดือน ธ.ค.2562 ที่เมืองอู่ฮั่นทางภาคกลางของจีน จากนั้นแพร่ระบาดไปกว่า 200 ประเทศและดินแดน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในจีนจนถึงเดือน ก.พ. ศูนย์กลางการแพร่ระบาดเริ่มย้ายมาสู่โลกตะวันตก ตอนนี้สหรัฐ อิตาลี และสเปน ถือเป็น 3 ประเทศที่เสียหายหนักสุด

ขณะที่ศูนย์กลางโรคกำลังเปลี่ยนก็ดูเหมือนว่าการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าระลอก 2 กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนและสิงคโปร์ด้วย จีนมีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกที กระตุ้นให้รัฐบาลต้องปิดประเทศไม่ให้ต่างชาติเข้า

เทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสิงคโปร์เช่นกัน คลื่นการติดเชื้อระลอกใหม่มาจากชาวสิงคโปร์ผู้เจ็บป่วยเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ

"สิงคโปร์" พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อปลายเดือน ม.ค. เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน จากนั้นรัฐบาลพยายามสกัดการติดเชื้อในหมู่ประชาชนโดยใช้มาตรการหลากหลาย เช่น ควบคุมการเข้าออกประเทศและการกักโรค แต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก เที่ยงวันพุธ (1 เม.ย.) ตัวเลขเกิน 1,000 คน

“ที่น่ากลัวจริงๆ คือสิ่งที่จะก่อให้เกิดระลอก 2 นั่นคือประเทศที่ยังคงมีปัญหากับผู้ติดเชื้อจำนวนมากในขณะนี้ จะส่งออกคนที่มีเชื้อไวรัสไปประเทศอื่น”

158598718688

“ที่น่ากลัวจริงๆ คือสิ่งที่จะก่อให้เกิดระลอก 2 นั่นคือประเทศที่ยังคงมีปัญหากับผู้ติดเชื้อจำนวนมากในขณะนี้ จะส่งออกคนที่มีเชื้อไวรัสไปประเทศอื่น” เตียวกล่าวพร้อมย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับการระบาดไปทั่ว และว่าศูนย์กลางการระบาดจะย้ายไปเรื่อยๆ จนกว่าประชาชนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่

คำนี้หมายถึงการที่ประเทศมีประชากรที่มีภูมิคุ้มกันโรคในจำนวนมากพอถึงขนาดสามารถหยุดยั้งเชื้อไม่ให้แพร่กระจายได้ เตียวอธิบายว่า การมีภูมิคุ้มกันทำได้โดยใช้วัคซีน หรือได้มาด้วยวิธีธรรมชาติผลจากการได้สัมผัสไวรัส

แต่ถ้ายังไม่มีวัคซีนที่ใช้ได้ การกระจายการระบาดเพื่อซื้อเวลาให้ระบบสาธารณสุขฟื้นตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ นั่นหมายความว่าเป็นการปล่อยให้จำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ เพิ่มขึ้น แทนที่จะพุ่งพรวดขึ้นทีเดียว แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเท่ากันก็ตาม การทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันระบบสาธารณสุขไม่ให้ต้องรับผู้ป่วยมากเกินไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จนเกินขีดความสามารถที่โรงพยาบาลรองรับได้ 

การหน่วงเวลาติดเชื้อรายใหม่ให้นานออกไปจะเปิดให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนเรียกว่า “ลดจำนวนผู้ติดเชื้อ” ให้ต่ำสุดเท่าที่เป็นไปได้

ในเมื่อยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่า หากปล่อยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่คงต้องมีผู้เจ็บป่วยกันอีกมาก ตอนนี้การดูแลตัวเองเป็นทางเลือกที่ทุกคนต้องทำไปก่อน หนึ่งในนั้นคือ “การสวมหน้ากาก” 

บิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ขอให้ชาวเมืองทุกคนหาอะไรมาปกปิดใบหน้าเมื่อออกข้างนอกและอยู่ใกล้คนอื่น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า

“ขอชี้แจงว่านี่เป็นการหาอะไรมาปกปิดใบหน้าอาจใช้ผ้าพันคอ ใช้อะไรก็ได้ที่คุณทำเองได้ในบ้าน เป็นผ้าเช็ดหน้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จริงๆ แล้วพวกคุณไม่ต้องการใช้หน้ากากแบบเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามใช้หรอก นั่นเจ้าหน้าที่เขาต้องการ อย่าไปใช้แบบนั้น” เดอ บลาซิโอ ย้ำ

ตอนนี้นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ จำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วเกือบ 5 หมื่นคน เสียชีวิต 1,562 คน

ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ เย็นวันพฤหัสบดี (2 เม.ย.) ระบุสหรัฐมีผู้ติดเชื้อรวมกว่า 2.43 แสนคน เสียชีวิตกว่า 5,900 คน

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ออกคำสั่งให้ชาวอเมริกันทุกคนปกปิดใบหน้า

“ยกตัวอย่างกรณีหน้ากาก ถ้าใครอยากใส่ก็ใส่ ถ้าอยากใช้ผ้าพันคอที่หลายคนมีก็ใช้ หลายกรณีผ้าพันคอดีกว่า หนากว่า ขึ้นอยู่กับวัสดุ หนากว่า” ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำวันของทำเนียบขาว

ส่วน รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เสริมว่าเร็วๆ นี้ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี) จะเผยคู่มือทางการว่าด้วยการใช้หน้ากาก

แต่ เดบอราห์ เบิร์กซ ผู้ประสานงานการรับมือไวรัสโคโรน่าของทำเนียบขาว กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือประชาชนต้องไม่คิดว่าใส่หน้ากากแล้วไม่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคมหรือล้างมือ

“เราไม่ต้องการให้ประชาชนรู้สึกว่าได้รับการปกป้องปลอมๆ หน้ากากเป็นแค่ส่วนเสริม”

แม้แต่ เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็แนะนำแบบเดียวกับนายกฯ นิวยอร์ก แต่ย้ำว่าหน้ากากจะต้องไม่มาทดแทนการเว้นระยะทางสังคม

“คนที่อยากปิดหน้า เป็นสิ่งดีที่ควรทำ นอกเหนือจากการเว้นระยะทางกายภาพและถูกสั่งให้อยู่กับบ้าน”

ตอนนี้ชาวอเมริกันกว่า 3 ใน 4 อยู่ภายใต้การล็อกดาวน์ต่างๆ นานา รวมถึงชาวนิวยอร์กที่ถูกขอให้อยู่บ้าน อย่าออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ