ตามจับ หนีกักตัว! ‘สุวรรณภูมิ’ มาตรการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ ของ ศบค.
การ “หนีกักตัว” ที่ “สนามบินสุวรรณภูมิ” กลายเป็นความท้าทายต่อ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” อีกครั้งหนึ่งในสถานการณ์ “โควิด-19” สังคมต่างกำลังจับตาถึงท่าทีของรัฐหลังจากนี้
ดูท่าจะต้องถึงคราวที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ ศบค. จะ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เสียบ้าง หลังที่จำนวนคนที่หนีมาตรการกักตัวที่ "สนามบินสุวรรณภูมิ" 152 ราย หลังพ้นเส้นตาย 18.00 น. ยังเหลือเกินครึ่ง ที่ยังไม่ได้มารายงานตัว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ได้มีผู้โดยสารชาวไทยที่เดินทางกลับจาก ประเทศ ญี่ปุ่น รวม 3 เที่ยวบิน จำนวน 103 คน การ์ต้า 11 คน และ สิงคโปร์ 44 คน รวมทั้งหมด 158 คน เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ยอมกักตัว 14 วัน ตามมาตรการ state quarantine มีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ยอมดำเนินการตามมาตรการ ขณะที่อีก 152 คนที่เหลือต่างกระจัดกระจายกันกลับภูมิลำเนาทั้ง 38 จังหวัด ทำให้ ศบค. ต้องขีดเส้นตายให้มารายงานตัวภายในเวลา 18.00 น.
จนล่าสุด เมื่อเวลา 16.00 น. ยอดที่มารายงานตัวแล้วในวันนี้ จำนวนทั้งหมด 75 ราย ประกอบด้วย ผู้ที่มารายงานตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ 61 ราย , ต่างจังหวัด 8 ราย , และเมื่อคืนที่ผ่านมา 6 ราย
และรายงานเมื่อช่วง 20.00 น.พบว่ามีเข้ามารายงานตัวแล้ว 117 ราย
อันที่จริง มาตรการทางสังคมก็ได้ถูกดำเนินการไปแล้วระดับหนึ่ง ทันทีที่มีรายชื่อพร้อมที่อยู่ของผู้โดยสารทั้ง 158 ชีวิต “หลุด” ไปตามสื่อต่างๆ ก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่พอสมควร จนต้องมีการออกมาขอความร่วมมือในการไม่เปิดเผยชื่อ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ศูนย์ปฏิบัติการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคงจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคง ยืนยัน ว่าการดำเนินการทุกอย่างจะไปด้วยมาตราฐานที่ได้วางไว้ แต่เมื่อวานนี้ ยอมรับว่า อาจไม่ราบรื่น เพราะบางกระบวนการ ผู้โดยสารรอคอยแบบนานกว่าปกติ เนื่องจากต้องจัดหมวดหมู่ เพื่อนำไปสู่สถานกักกันโรค ผู้โดยสารทั้งหมด ได้รับความสะดวกและราบรื่นในกระบวนการคัดกรอง
ขณะที่ พลตำรวจโท สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เตรียมเปิดเผยรายชื่อ ผู้ที่ไม่มารายงานตัวภายใน 18.00 น.วันนี้ ให้สังคมรับรู้ ในกฏหมายจะถูกดำเนินคดี ในฐานความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.สาธารณะสุข โดยมีอัตราโทษ จำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกับย้ำ ว่ารายชื่อทั้ง 152 คน อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ทั้งหมดแล้ว
ส่วนที่มี กระแสข่าวว่ามีผู้โดยสาร 3 คน มีอาการไข้สูงหลบหนีไปกับกลุ่ม 152 คน นั้น นพ. สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า ขณะนี้บางคนได้ติดต่อกลับเข้ามารับการกักตัว 14 วันตามขั้นตอนแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ติดต่อเข้ามาก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนใกล้ชิด และผิดกฏหมาย จึงขอให้ความร่วมมือ พร้อมกันนี้ฝากถึงญาติพี่น้อง ไม่ต้องมารอรับ ให้ประสานพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และโซเซียลมีเดียเท่านั้น
สำหรับข้อกังวลของผู้ที่ถูกกักนั้น ขอยืนยันว่า ได้มีการแยกผู้ที่มีเข้าข่ายอาการป่วยออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่จะพาไปสถานกักโรคที่จัดเตรียม ซึ่งมาตราฐาน 1 ห้อง จะให้พักได้ 2-3 คน โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณะสุข ซึ่งโมเดลเดียวกับการกักตัวของผู้ที่เดินมากลับมาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน
โดยการท่าอากาศยาน ได้อำนวยความสะดวกในเรื่องของหลุมจอดเครื่องบิน โดยให้มีการใกล้พื้นที่คัดกรองมากที่สุด รวมถึงอำนวยความสะดวกในเรื่องของกระเป๋า และบริการขึ้นรถที่จัดเตรียมไว้ โดยกระทรวงคมนาคม ขสมก.จัดรถไว้บริการนำไปสถานกักโรคที่เตรียมไว้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรืออำนาจเฉพาะกิจใดๆ ก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ร้อยพันมาตรการ หมื่นแสนแนวปฏิบัติ หรือจะสู้ หนึ่งความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม