โจทย์ 5 พันบาท ครอบคลุมทั่วถึง
กรณีมาตรการเยียวยา 5 พันบาท อาจเป็นเรื่องบานปลาย หากวันนี้รัฐบาลไม่ทำงานให้หนักมากกว่าเดิม เพื่อปรับบรรยากาศหดหู่จากมหันตภัยร้ายโควิด-19 ซึ่งทางออกสำคัญคือการตรวจสอบคัดกรองอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และมีการสื่อสารที่ดีพอ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 เม.ย.63 ได้รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 112/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลด้านผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้ทำหน้าที่ติดตาม รวบรวม และบูรณาการข้อมูลที่รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน ตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาตามมาตรการรัฐ วิเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีความครอบคลุม ทั่วถึง และเป็นธรรม
โครงสร้างคณะกรรมการ 11 คน มีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน กรรมการอีก 10 คน ประกอบด้วยปลัดจาก 8 กระทรวง ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ส่วนอีกคนคือผู้อำนวยการสำนักงานงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นกรรมการและเลขานุการ นับเป็นความเคลื่อนไหวฟากรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็ม ในห้วงเวลาที่การบริหารจัดการ โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. กำลังเดินหน้าไปด้วยดี เห็นได้จากตัวเลขที่ลดลงตามลำดับ ทว่านั่นคือผลจากการทำงานหนักและการสื่อสารที่ดีของฝ่ายแพทย์ เป็นกำลังหลัก
ฟากรัฐบาลวันนี้การทำหน้าที่แก้ปัญหาโควิด-19 จำเป็นต้องทำงานหนักกว่าเก่า เพื่อให้มีประสิทธิภาพเท่าทันฝ่ายแพทย์ที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจ ประกอบกับเหตุผู้ผิดหวังในโครงการเราไม่ทิ้งกันบุกกระทรวงการคลังเพื่อทวงสิทธิ์ขอรับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ผสมโรง จึงอาจจะเป็นที่มาของการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว
ในบรรยากาศที่ประเทศไทยและทั่วโลก กำลังหดหู่จากมหันตภัยร้ายโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมกำลังหดหู่ไร้ที่พึ่ง เรื่องจะบานปลาย กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ง่าย การอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการคัดสรรคัดกรอง ไม่ทั่วถึง ในทำนองฝนตกไม่ทั่วฟ้า ยากที่ใครจะปฏิเสธได้ จึงต้องมีการขันนอตการทำงานฝ่ายรัฐกันอีกครั้ง
การแถลงข่าวหลังการประชุม ครม.ของผู้นำประเทศเมื่อวานนี้ ส่งสารถึงคนไทยอย่างมีนัย โดย พล.อ.ประยุทธ์ ระบุบางช่วงบางตอนว่า ในช่วงนี้ก็ลำบากกันทุกคน ถ้ารัฐบาลมีเงินเยอะ ก็สามารถให้ทุกคนพร้อมกันในเวลาเดียวกัน แต่ด้วยข้อจำกัด จึงขอให้เข้าใจและต้องอดทน นายกรัฐมนตรียังขอโทษคนยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ เราเห็นว่าท่าทีดังกล่าวอ่อนโยนมากขึ้น อาจจะเกิดจากความเห็นอกเห็นใจพี่น้องชาวไทย หรือเป็นการยอมรับว่ารัฐบาลดูแลความเดือดร้อนผู้คนยังไม่ดีพอ เป็นไปได้หมด
เราเห็นว่า การบริหารจัดสรรความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งในรูปแบบของเงินหรือสิ่งของเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องรอบคอบระมัดระวัง หากมีการสื่อสารที่ดีพอ เหตุการณ์ที่กระทรวงคลังจะไม่เกิดขึ้นอีก เรายังเห็นว่าก่อนเกิดเรื่องเป็นข่าวใหญ่ ทีมงานในโครงการเราไม่ทิ้งกันทำงานได้ว่าสุขุมรอบคอบ มีผลงานน่าพอใจ ให้ถือเป็นบทเรียนในอนาคตของผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการโครงการ หลังจากนี้ไป