รู้เท่าทัน 'มะเร็งตับ' จากกรณี 'ตั้ว ศรัณยู'

รู้เท่าทัน 'มะเร็งตับ' จากกรณี 'ตั้ว ศรัณยู'

"มะเร็งตับ" ถือเป็นโรคร้ายแรงอีกหนึ่งโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด มักถูกตรวจพบในระยะกลางหรือระยะร้ายแรงไปแล้ว หลังจากนั้นผู้ป่วยก็มักจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายในเวลา 3-6 เดือน!

วงการบันเทิงไทยต้องสูญเสียบุคลากรคุณภาพอีกครั้ง เมื่อนักแสดงและผู้จัดละครคนเก่งอย่าง ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เสียชีวิตลงในวัย 59 ปี ด้วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย

"มะเร็งตับ" ถือเป็นโรคร้ายแรงอีกหนึ่งโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด จากข้อมูลสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2542-2562) พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย 

โดยโรคมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชาย อันดับหนึ่ง คือ มะเร็งตับ และเป็นอันดับ 3 ในเพศหญิง เนื่องจากมะเร็งตับมีการดำเนินโรคที่รวดเร็วมาก ผู้ป่วยที่เข้ามารับการตรวจมักจะมาด้วยอาการผิดปกติอย่างรุนแรงหรือโรคลุกลามไปมากแล้ว พอแพทย์วินิจฉัยและยืนยันผลตรวจว่าพบมะเร็งตับจริง ก็มักเสียชีวิตภายใน 3-6 เดือน!

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนทำความเข้าใจ โรคมะเร็งตับ เพื่อให้คนไทยรู้เท่าทันและอาจช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเกิดโรคนี้กับทุกคนได้ 

  • มะเร็งตับเกิดจากอะไร 

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโลระบุว่า มะเร็งตับ แบ่งการเกิดได้เป็น 2 ทางใหญ่ๆ คือ “เกิดกับตับโดยตรง” และ “ลุกลามมาจากมะเร็งที่เกิดกับอวัยวะอื่นมายังตับ” 

ซึ่งการเกิดที่ตับโดยตรง มักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เช่น ผู้ป่วยเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เป็นพยาธิใบไม้ในตับ หรือเคยได้รับสารเคมีต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย เช่น ยาฆ่าแมลง จนเกิดการสะสมสารเคมีจากยารักษาโรคบางชนิด หรือแม้กระทั่งการได้รับสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา สารเคมีที่เกิดจากอาหารหมักดอง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงภาวะทุพโภชนาการ ภาวะภูมิต้านทานร่างกายต่ำ หรือสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากอย่างการมีพันธุกรรมเสี่ยง ซึ่งเมื่อรวมปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา หากมีปัจจัยเสี่ยงมากก็มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งตับได้มากเป็นเงาตามตัว

159185223349

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

  

  • อาการเสี่ยงบอกสัญญาณมะเร็งตับ 

เพราะโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ การตรวจหาความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญ คนไข้ส่วนใหญ่มักจะไปพบแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการลุกลามหลายๆ อย่างแล้ว ดังนี้

- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

- อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ

- คลื่นไส้ อาเจียน

- แน่นท้อง ท้องผูก ท้องโต

- ขาบวม

- ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา ซึ่งมักคลำพบก้อนได้จากอาการตับโต

- คลำพบก้อนที่ชายโครงด้านซ้ายจากอาการม้ามโต

- ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • ปัจจัยของผู้ที่มีความเสี่ยง 

เนื่องจากมะเร็งตับ เป็นมะเร็งชนิดที่ลุกลามเร็ว ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจเป็นประจำ โดยผู้ที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป คือ

- เพศชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป (เพศชายเสี่ยงมากกว่าเพศหญิงราว 2-3 เท่า)

- ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซีในร่างกาย

- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคตับแข็ง

- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นประจำมายาวนาน

- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือได้รับควันบุหรี่มือสองเป็นประจำ

- ผู้ที่มีประวัติญาติสายตรงในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ

  • วิธีการรักษามะเร็งตับ

แนวทางรักษามะเร็งตับ มีหลายวิธี

  1. การผ่าตัด มักทำในผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งยังไม่โตมาก ไม่มีภาวะตับแข็ง และการทำงานของตับยังดีอยู่ เป็นวิธีที่หวังผลเพื่อการหายขาด
  2. การฉีดยาเคมีและสารอุดตันเข้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ทำเพื่อให้ก้อนมะเร็งยุบลง (Transarterial ChemoEmbolization หรือ TACE)
  3. การใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงทำลายก้อนมะเร็ง โดยใช้เข็มสอดผ่านทางผิวหนัง (Radiofrequency Ablation) คลื่นเสียงนี้จะก่อให้เกิดความร้อนที่เซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
  4. การฉีดยา เช่น ฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปที่ก้อนมะเร็งผ่านทางผิวหนัง ใช้ในกรณีก้อนมะเร็งยังเล็ก และผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้
  5. การใช้ยาเคมีบำบัดแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) จะช่วยลดการเจริญเติบโตของมะเร็งได้ แต่ส่วนใหญ่จะทำเพื่อบรรเทาอาการ ไม่ใช่วิธีที่มุ่งรักษาให้หายขาด
  6. การฉายแสง โดยมากใช้เพื่อบรรเทาอาการของมะเร็ง
  7. การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
  8. การใช้วิธีการผสมผสาน โดยทำหลายๆ วิธีร่วมกัน

159185225157

การรักษามะเร็งตับทำได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความรุนแรงของโรค หากผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็งในระยะที่การทำงานของตับไม่ดีแล้ว หรืออยู่ในระยะท้ายๆ ของโรคตับแข็ง ซึ่งโรคตับแข็งมักเป็นโรคที่มาควบคู่กัน โดยมักเป็นมาก่อนการเป็นมะเร็งตับเสียอีก ดังนั้นการรักษามะเร็งตับก็จะมีข้อจำกัด นอกจากนี้ขนาดของมะเร็งตับและการแพร่กระจายของมะเร็งก็มีความสำคัญในการวางแผนการรักษาด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคตับที่เป็นอยู่เดิมพร้อมกับการรักษามะเร็งตับ หรือบางรายอาจเน้นไปที่การรักษามะเร็งตับโดยตรงก่อน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

เพราะเราไม่รู้ว่าโรคร้ายต่างๆ จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไร สำหรับใครที่รู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงการเป็นมะเร็งตับ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือมีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ มีไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายก็ควรลดปัจจัยเสี่ยงด้วยการงดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพยายามอย่าเครียด เมื่อมีโอกาสก็ควรเข้ารับการตรวจเพื่อคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาเริ่มต้นได้ทันทีหากพบความผิดปกติ

--------------------------

อ้างอิง : 

siphhospital.com

si.mahidol.ac.th

paolohospital.com