เปิดประวัติ 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ' ขุนคลังคนใหม่
เปิดประวัติ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" หลังได้รับโปรดเกล้าฯเป็น "รัฐมนตรีคลัง" คนใหม่ ครม.ประยุทธ์ 2/3
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เดิมชื่อ อาคม แซ่จึง เกิดเมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2499 ที่จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของนายงี้ยง แซ่จึง กับนางกิมเอง แซ่จึง สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนรวมสินวิทยา จบมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จบมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2520 และระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยวิลเลียมส์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐ เมื่อปี 2526
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เข้ารับราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจ ในระหว่างปี 2539 ถึงปี 2542 เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและแผน (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 9 ชช.) ในปี 2542-2543 จากนั้นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ สศช. (2543-2546) และเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (2546-2547) กระทั่งในปี 2547 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2553
ในปี 2557 นายอาคมได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อมาในเดือน ส.ค. ของปีเดียวกัน เขาได้ลาออกจาก สนช และเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งควบคู่ทั้งตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ และตำแหน่งทางการเมือง
ต่อมาในเดือน ส.ค. 2558 นายอาคมได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทนพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ต่อมานายอาคมได้ยื่นลาออกจากข้าราชการในตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เนื่องจากดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้ข้าราชการประจำที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเกษียณอายุราชการหรือลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2558 เป็นต้นไป
ล่าสุด (5 ต.ค. 63) นายอาคม ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่อย่างเป็นทางการในรัฐบาล "ประยุทธ์ 2/3" แทน "นายปรีดี ดาวฉาย" ที่ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ด้วยปัญหาด้านสุขภาพ
ภารกิจใหญ่ที่รออยู่สำหรับขุนคลังคนใหม่คือ เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่ยากลำบากให้ผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไปได้ ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้น ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด