'พัทลุง'โล่ง 'ชาวเมียนมา'ไม่ใช่ผู้ติดโควิด-19รายใหม่
สสจ.พัทลุงเผยผลตรวจเลือดชาวเมียนมาสงสัยโควิด-19 พบมีภูมิคุ้มกันบ่งบอกเคยติดเชื้อนานแล้ว ชิ้นส่วนไวรัสที่เจอเป็นร่องรอยเก่า ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อใหม่
จากกรณีที่ทีมเจ้าหน้าที่จ.พัทลุงมีการดำเนินเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด-19อย่างเข้มแข็ง โดยเมื่อวันที 27 ต.ค.2563 ตำรวจสภ.ป่าบอน จ.พัทลุง ตรวจจับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจำนวน 10 คน และมีการส่งตรวจโรคโควิด-19ตามระบบการเฝ้าระวังในแรงงานต่างด้าว ซึ่งผลเบื้องต้นมี 1 รายพบชิ้นส่วนไวรัส แต่รายดังกล่าวไม่มีอาการป่วยใดๆ และให้ประวัติว่าอยู่ในไทยมานานกว่า 2 เดือน เจ้าหน้าที่จึงเจาะเลือดตรวจเพื่อดูภูมิคุ้มกันที่จะบ่งบอกว่าเป็นการติดเชื้อเก่านานแล้วหรือเพิ่งติดเชื้อใหม่นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2563 นพ.ไพศาล เกื้ออรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ผลการตรวจเลือดชายชาวเมียนมาเพื่อตรวจดูภูมิคุ้มกัน พบว่า มีภูมิคุ้มกันที่บ่งบอกว่าเป็นการติดเชื้อเก่า ไม่ได้เป็นการติดเชื้อใหม่หรือเพิ่งติดเชื้อแต่อย่างใด ชิ้นส่วนไวรัสที่ตรวจเจอนั้นเป็นเพียงซาก จึงไม่ถือว่ารายนี้เป็นผู้ติดโควิด-19ยืนยันของประเทศไทย ทั้งนี้ จ.พัทลุงยังมีผู้ติดโควิด-19ยืนยันเพียง 14 รายเท่าเดิม และไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกันเป็นวันที่ 205 แล้วนับตั้งแต่เจอรายล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ทั้งนี้ กรณีนี้ถือเป็นการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเพื่อเตรียมพร้อมหากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทีมพัทลุงมีความพร้อม ความเข้มแข็งและรวดเร็วในการดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าหากอนาคตอาจจะมีผู้ติดเชื้อใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ เจ้าหน้าที่พร้อมเข้าเผชิญเหตุและควบคุมโรคโดยเร็ว
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เป็นแรงงานชาวเมียนมาในพื้นที่จังหวัดพัทลุง 1 ราย นั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า กรมควบคุมโรค โดยสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา (สคร.12 จ.สงขลา) ซึ่งดูแลพื้นที่จังหวัดพัทลุง ได้ส่งทีมปฏิบัติการสอบสวนโรค ลงพื้นที่ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อร่วมสอบสวนโรค ตรวจสอบรายละเอียดและค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติม พร้อมทั้งให้คำแนะนำการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่ดังกล่าว
จากกสอบสวนโรคเพิ่มเติม พบว่าผู้ป่วยชายชาวเมียนมารายนี้ อายุ 26 ปี ไม่มีโรคประจำตัว เดินทางไปทำงานที่มาเลเซียตั้งแต่ปี 2561 อาชีพรับจ้างเข็นผักในตลาดแห่งหนึ่ง อาศัยบ้านเช่า ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ตลาดที่ทำงานถูกปิด ผู้ป่วยไม่มีเอกสารเดินทางจึงต้องการกลับเมียนมาโดยเดินทางผ่านไทยไปเข้าทางอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่วนประวัติการเดินทาง วันที่ 26 ต.ค. 63 ผู้ป่วยเดินทางคนเดียวโดยรถบัสไปรัฐปีนัง มีนายหน้ารับขึ้นรถเพื่อข้ามฝั่งไปไทย กับเพื่อนร่วมทางอีก 8 คน โดยนอน 1 คืนที่เกาะลังกาวี จากนั้น 04.00 น. ของวันที่ 27 ต.ค. 63 ลงเรือใกล้ชายฝั่งที่จังหวัดสตูล จากนั้นจะเดินทางต่อด้วยรถยนต์ไปชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จนมาถูกตำรวจจับกุมที่ด่านอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง ตามรายงานข่าว
นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่ผู้ป่วยรายดังกล่าว มีการตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิดในปริมาณน้อย โดยวิธี RT-PCR เมื่อวันที่ 28 ต.ค.63 หลังเข้าไทยเพียง 1 วันก็พบเชื้อ แสดงว่าติดเชื้อมาก่อนแล้ว ไม่ได้ติดเชื้อโควิด 19 ในไทย และแจ้งให้รอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน นั้น ในบ่ายวันนี้ผลการตรวจเลือด ปรากฏว่าพบภูมิคุ้มกันในร่างกาย แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดเชื้อรายเก่าที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และความสามารถในการแพร่เชื้อมีโอกาสน้อยมาก ซึ่งผลการสอบสวนครั้งนี้คาดว่าผู้ป่วยอาจรับเชื้อมาจากมาเลเซีย ถึงแม้ไม่สามารถระบุแหล่งที่รับเชื้อได้ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาศัยอยู่ในพื้นที่มีการระบาดเนื่องจากตลาดที่ผู้ป่วยทำงานถูกปิด ส่วนผู้สัมผัสกับผู้ป่วยผลตรวจก็ยังไม่พบเชื้อโควิด 19 แต่อย่างใด
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนและมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องให้ครบกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่และประชาชนชาวไทยทุกคน อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนยังคงดูแลป้องกันตนเอง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องเช่นเดิม “สวมหน้ากาก ล้างมือ แยกของใช้ เว้นระยะห่าง ลดแออัด” จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยได้ หากพบผู้ติดเชื้อกระทรวงสาธารณสุขจะเข้าไปดำเนินการทันที
“ขอเน้นย้ำว่าประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้หน่วยงานทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้เดินทางและเฝ้าระวังการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันเฝ้าระวังบุคคลแปลกหน้าที่เข้ามาในชุมชน อาจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อโควิด 19 เข้ามาในประเทศได้ หากสงสัยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินมาตรการป้องกันต่อไป และขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ผู้ที่นำพาเข้ามาและนายจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายดังกล่าว จะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเฉียบขาดกับผู้กระทำผิดทุกราย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นพ.โอภาส กล่าวปิดท้าย