ปลูก 'ยางพารา' เช็คด่วน! 5 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูก 'ยางพารา'

ปลูก 'ยางพารา' เช็คด่วน! 5 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูก 'ยางพารา'

สรุปครบจบที่นี่! เช็ค 5 โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูก "ยางพารา" นอกเหนือจากโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2

คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2563 โครงการประกันรายได้เกษตรกรราว 6 หมื่นล้านบาท หนึ่งในนั้นเป็นโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 วงเงินรวม 10,042 ล้านบาท

โดยโครงการนี้เป็นการเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 1.8 ล้านราย พื้นที่ปลูกยางพารากว่า 18 ล้านไร่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

  • ใครมีสิทธิ์บ้าง?

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1.เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) 

2.เป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไป เปิดกรีดยางไปแล้ว

3.รายละไม่เกิน 25 ไร่ มีสัดส่วนแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของ 60% และคนกรีดยาง 40%

  • หลักเกณฑ์เข้าร่วม ดังนี้

สำหรับหลักเกณฑ์นั้นจะเป็นไปตามโครงการระยะที่ 1 โดยเป็นการประกันรายได้ยาง 3 ชนิด คือ 

1.ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม

2.น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม

3.ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาทต่อกิโลกรัม

โดยกำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จำนวนไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวนไม่เกิน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน

ส่วนระยะเวลาโครงการ เดือนกันยายน 2563 - กันยายน 2564 (ประกันรายได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - 1 มีนาคม 2564)

ทั้งนี้ ราคายางยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในช่วงที่ผ่านมา ขยับเกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย ซึ่งรัฐบาลจะพยายามรักษาระดับราคายางพาราให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป

นอกจากนี้ ครม.ยังมีการอนุมัติ 4 โครงการคู่ขนาน ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563

1.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์

โดยธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ ซึ่งรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี แต่ไม่เกิน 600 ล้านบาท และมีค่าบริหารจัดการโครงการ 4 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2565

ทั้งนี้มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ร้อยละ 80 รวมถึงกระตุ้นการโค่นยาง 400,000 ไร่ ดูดซับไม้ยางจากการโค่น 12 ล้านตัน และราคาไม้ยางที่คาดหวังเฉลี่ย 1,300 บาทต่อตัน 

2.โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง

เป็นการขยายเวลาชำระคืนเงินกู้ทั้งสองโครงการให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

1) ขยายเวลาชำระคืนเงินกู้ออกไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากเดิมวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1

2) นำเงินจากการระบายยางในสต็อกและของบประมาณชดเชยการขาดทุนชำระคืนเงินกู้ ธ.ก.ส. วงเงินรวมทั้งสองโครงการ จำนวน 9,955.32 ล้านบาท

3) ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย ค่าจ้างผลิตยาง และอื่น ๆ รวม 898.76 ล้านบาท

3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินเดิม) วงเงินรวม 25,000 ล้านบาท

เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการดังนี้

1) ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ (สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) ได้ทุกธนาคาร จากเดิมเฉพาะธนาคารพาณิชย์

2) ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อทุก 1ล้านบาท จะต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศเป็น 2 ตันต่อปี ในปีการผลิต 2563 เดิมที่กำหนดในปีที่ 1 - 2 ของการลงทุน ต้องเพิ่มเป็น 2 ตันต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็น 4 ตันต่อปี)

3) ให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตรวจสอบการใช้ยางของผู้ประกอบการเป็นรายปี ในปีการผลิต 2563 จากเดิมที่กำหนดเป็นรายเดือน โดยใช้วงเงินเดิมของโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาได้อนุมัติสินเชื่อให้ผู้ประกอบการไปแล้ว 14,038.20 ล้านบาท วงเงินโครงการคงเหลือ 10,961.80 ล้านบาท

4.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) 

เป็นการเพิ่มกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง โดยใช้วงเงินเดิมของโครงการ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในตลาด หากไม่มีการซื้อยางก็จะไม่ได้รับการชดเชยในเดือนนั้น

โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 – ธันวาคม 2564 ส่วนกิจกรรมที่มีอยู่เดิมของโครงการ คือ ผู้เข้าร่วมจะต้องมีสต็อกยางเพิ่มขึ้นมากกว่าสต็อกเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี

หากเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพบว่ามีปริมาณสต็อกน้อยกว่าหรือเท่ากับสต็อกเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี จะไม่ได้รับการชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี จากรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 4 ราย อนุมัติวงเงินสินเชื่อ 2,410 ล้านบาท มีปริมาณที่จัดเก็บตามโครงการ 75,692 ตัน จากเป้าหมาย 350,000 ตัน