คาดการณ์รายได้บ.ผลิตวัคซีนโลกส่อพุ่ง

คาดการณ์รายได้บ.ผลิตวัคซีนโลกส่อพุ่ง

ขณะที่หลายประเทศเริ่มทะยอยฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ บริษัทยาชั้นนำของโลกหลายแห่งที่คิดค้นและพัฒนาวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ก็มีรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ มาดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้างที่ได้รับประโยชน์เต็มๆจากวัคซีน

เว็บไซต์เดอะ การ์เดียน เผยแพร่รายงานสำรวจรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบรรดาบริษัทที่พัฒนาวัคซีนชั้นนำ ตั้งแต่ไฟเซอร์ไปจนถึงโมเดอร์นาว่าใครน่าจะทำรายได้จากวัคซีนได้มากที่สุด เริ่มจากบริษัทที่คาดการณ์ว่าจะทำเงินได้มากที่สุดอย่างไฟเซอร์/ไบออนเท็ค ซึ่งผลิตวัคซีนที่มีชื่อว่าโคเมอร์นาตี(Comirnaty) ใช้เทคนิค mRNA คือการฉีดพันธุกรรมโมเลกุล mRNA เข้าร่างกาย จากนั้นให้ร่างกายผลิตวัคซีนโปรตีนเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน

วัคซีนนี้เป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้รับการรับรองให้ใช้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก คือ-70 องศาเซลเซียส ขณะนี้รัฐบาลหลายประเทศสั่งซื้อไปประมาณ 780 ล้านโดส รวมถึงสหรัฐที่สั่งซื้อ200 ล้านโดสในราคา 3,900 ล้านดอลลาร์ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อีซี) สั่งซื้อไป 300 ล้านโดส ส่วนอีก 40 ล้านโดสจะส่งไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำผ่านโครงการโคแว็กซ์

คาดการณ์ว่าทั้งสองบริษัทจะมียอดขายในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 15,000-30,000 ล้านดอลลาร์ เพราะการฉีดวัคซีนนี้ในปริมาณสองโดสในสหรัฐจะมีต้นทุนอยู่ที่ 39 ดอลลาร์ และถ้าเป็นในสหภาพยุโรปจะมีต้นทุนที่ 30 ยูโร

ไฟเซอร์ ซึ่งแบกรับต้นทุนและแบ่งผลกำไรคนละครึ่งกับไบออนเทค คาดการณ์ว่าจะมียอดขาย 15,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 จากข้อตกลงที่ทำกับประเทศต่างๆในปัจจุบัน แต่รายได้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เนื่องจากไฟเซอร์ ยืนยันว่าสามารถส่งมอบวัคซีนได้ 2,000ล้านโดสในปีนี้

‘คาร์เตอร์ โกลด์’ นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ คาดการณ์ไฟเซอร์/ไบออนเทคน่าจะมียอดขายอยู่ที่ 21,500 ล้านดอลลาร์ในปี2564 ส่วนปีหน้าน่าจะมียอดขายอยู่ที่ 8,600 ล้านดอลลาร์และ 1,950 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 บนสมมติฐานที่ว่าในระยะต่อไปจะเป็นการฉีดวัคซีนแค่เข็มเดียว และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นไฟเซอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8% ส่วนราคาหุ้นไบออนเท็คเพิ่มขึ้น 156%

ต่อมาคือโมเดอร์นา ซึ่งผลิตวัคซีนที่ใช้เทคนิคmRNA เป็นวัคซีนที่ต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรสั่งซื้อ 17 ล้านโดส สหภาพยุโรป (อียู)สั่งซื้อ 310 ล้านโดส พร้อมเงื่อนไขให้ซื้อเพิ่มได้อีก 150 ล้านโดสในปี 2565 ขณะที่รัฐบาลสหรัฐสั่งซื้อ 300 ล้านโดส ญี่ปุ่นสั่งซื้อ 50 ล้านโดส ส่วนต้นทุนการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาสองโดสในสหรัฐ อยู่ที่ 30 ดอลลาร์ส่วนในอียูอยู่ที่ 36 ยูโร

คาดการณ์กันว่าโมเดอร์นาจะมียอดขายในปี2564 อยู่ที่ 18,000-20,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่“จีนา หวัง” นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ประเมินยอดขายของโมเดอร์นาไว้ที่ 19,600 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 ส่วนนปี 2566 คาดการณ์กันว่ายอดขายของบริษัทนี้จะอยู่ที่่ 11,400 ล้านดอลลาร์ บนสมมุติฐานที่ว่าเป็นการฉีดสองเข็ม และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นโมเดอร์นาปรับตัวเพิ่มขึ้น 372%

ตามมาด้วย จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน(Johnson & Johnson) ซึ่งผลิตวัคซีนอะดีโนไวรัส ซึ่งเป็นวัคซีนที่ฉีดเพียงโดสเดียวตัวแรกของโลก พัฒนาโดยแจนเซน บริษัทลูกในเบลเยียม ใช้ไวรัสอะดีโนสายพันธุ์ Ad26 ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดที่หายาก ได้รับการรับรองในสหรัฐเมื่อปลายเดือนก.พ. สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิมาตรฐานอย่างน้อย 3 เดือน

คำสั่งซื้อวัคซีนจำนวนมากของเจแอนด์เจมาจากสหรัฐ สหราชอาณาจักร ที่ซึ่งสั่งซื้อ 30 ล้านโดสและสั่งซื้อเพิ่มได้อีก 22 ล้านโดส อียูซึ่งสั่งซื้อได้สูงสุด 400 ล้านโดส และประเทศสมาชิกโครงการโคแว็กซ์ 500 ล้านโดส ตลอดทั้งปี 2565 คาดว่ายอดขายของปี 2564 จะสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของเจแอนด์เจปรับตัวขึ้น 7.7%

161999954969

ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ผลิตวัคซีนอะดีโนไวรัส เวกเตอร์ (Adenovirus vector vaccine) เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ใช้ไวรัสหวัดลิงชิมแปนซีและเก็บไว้ที่อุณหภูมิตู้เย็นทั่วไป มีการสั่งซื้อวัคซีนนี้จำนวนมากจากสหราชอาณาจักร 100 ล้านโดส อียู 400 ล้านโดส สหรัฐ 300 ล้านโดส และญี่ปุ่น 120 ล้านโดส คาดการณ์ว่ายอดขายของปี 2564 จะอยู่ที่่ 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์จากเอสวีบี เลียร์อิงค์ คาดการณ์ว่ายอดขายจะอยู่ที่ 1,900 ล้านดอลลาร์ในปีนี้และ 3,000 ล้านดอลลาร์ในปี2565 ส่วนในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นแอสตร้าเซนเนก้าปรับตัวลง 8.6%

ขณะที่ซิโนแวค ผลิตวัคซีนโคโรนาแวคและใช้ในกรณีฉุกเฉินในหลายเมืองของจีนตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว ซิโนแวคทำข้อตกลงกับบราซิล ชิลี สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะส่งมอบวัคซีน 10 ล้านโดสให้แก่ประเทศสมาชิกในโครงการโคแว็กซ์ คาดการณ์ว่ายอดขายปี 2564จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนออกมา และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นซิโนแวคปรับตัวลง 21.6%

ต่อมาคือสถาบันกามาเลยา/กองทุนเพื่อการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย(Gamaleya Institute/Russian Direct Investment Fund)ผลิตวัคซีนอะดีโนไวรัส หรือวัคซีนสปุตนิก วี.(Sputnik V.) แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของอียู แต่มีการสั่งซื้อวัคซีนตัวนี้ของรัสเซีย โดยรวมแล้วกว่า 50 ประเทศ รวมถึงอิหร่าน แอลจีเรียและเม็กซิโก โดยยอดขายในปี 2564 ยังไม่ชัดเจน แต่น่าจะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

โนวาแวกซ์ ผลิตวัคซีนรีคอมบิแนนท์ โปรตีน โดยบริษัทตกลงส่งมอบวัคซีนรวมทั้งสิ้น 300 ล้านโดส ให้สหราชอาณาจักร 60 ล้านโดส ที่เหลือเป็นของอียู แคนาดาและออสเตรเลีย คาดการณ์ว่ายอดขายปี 2564 จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นโนวาแวกซ์ปรับตัวขึ้น 1,128%

สุดท้ายคือบริษัทเคียวร์แวค ซึ่งผลิตวัคซีน CVnCovใช้เทคนิค mRNA โดยบริษัทหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากอียูในเดือนมิ.ย.นี้ อียูสั่งซื้อล่วงหน้า 225 ล้านโดส พร้อมซื้อเพิ่มได้อีก 180 ล้านโดส ส่วนยอดขายในปี 2564 ยังไม่มีความชัดเจน เพราะยังไม่มีการเปิดเผยราคา แต่เป็นราคาที่ทำกำไรให้บริษัทได้ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคียวร์แวคปรับตัวขึ้น 45.5%