GPSC-GULF เข้าตาโบรก แนะซื้อรับธุรกิจเติบโต
“หุ้นโรงไฟฟ้า” วอลุ่มคึกคัก “บล.เมย์แบงก์ฯ” คาดได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า-ลุ้นเปิดเมืองดันยอดขายไฟเพิ่ม แนะนำทยอยสะสม "GPSC-GULF" มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว “บล.ฟินันเซียฯ” ชี้นักลงทุนหันกลับลงทุนเหตุราคาหุ้นขึ้นช้า “บล.ทิสโก้” แนะเทรดดิ้งระยะสั้น
หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าวานนี้ (31 ส.ค.) มูลค่าซื้อขายคึกคัก นำโดย บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มูลค่าซื้อขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ที่ 6,406.65 ล้านบาท ราคาเพิ่มขึ้น 4.38% ปิดที่ 41.75 บาท รองมา บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มูลค่าซื้อขาย 2,600 ล้านบาท ราคาเพิ่มขึ้น 0.91% ปิดที่ 83.25 บาท และ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มูลค่าซื้อขาย2,161.61 ล้านบาท ราคาเพิ่มขึ้น 0.77% ปิดที่ 65.50 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าวานนี้ปรับขึ้นได้ดี โดยได้ปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศสูง และคาดว่านักลงทุนเวียนกลุ่มซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง จากเดิมเข้าลงทุนในกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน ซึ่งได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ก่อนจะขยับเข้ามาในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งจะหนุนให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เป็นบวกต่อรายได้และกำไรในระยะถัดไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยิลด์) ที่อ่อนตัวลงเป็นบวกต่อต้นทุนของบริษัท
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อสะสมหุ้นเด่น ได้แก่ GPSC จากปัจจัยหนุนการประกาศลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2564 และจะเริ่มรับรู้กำไรในไตรมาส 4 ปี 2564 รวมถึงในระยะกลางได้ประโยชน์จากกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้มีการจำหน่ายแบตเตอรี่อีวีเชิงพาณิชย์ ซึ่งให้ราคาเหมาะสม 102 บาทต่อหุ้น
ถัดมา GULF จากศักยภาพการเติบโตในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานภายหลังเข้าซื้อหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) รวมถึงได้ประโยชน์จากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาหุ้นปรับขึ้นใกล้ราคาเหมาะสมที่ฝ่ายวิจัยให้ไว้ 44 บาทต่อหุ้นแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าแนวโน้มราคามีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีดีลสำคัญทางธุรกิจในมือที่กำลังพูดคุย และ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ได้ประโยชน์จากฤดูฝนทำให้มีปริมาณน้ำในการผลิตไฟฟ้าในไตรมาส 3 ปี 2564 โดยคาดว่ากำไรมีโอกาสปรับขึ้นแตะ 1 พันล้านบาท จึงแนะนำซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัว ราคาเหมาะสม 6.50 บาทต่อหุ้น
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมายังปรับขึ้นได้ช้ากว่าตลาด (แลกการ์ด) ส่งผลให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานที่ราคาปรับขึ้นค่อนข้างสูง และย้ายเข้ามาลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่พลิกแข็งค่าค่อนข้างเร็วในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบวกต่อต้นทุนของกลุ่ม อย่างไรก็ดี ระยะยาวแนะนำถือลงทุนต่อเนื่อง แต่เน้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภายหลังดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1,600 จุดกว่าๆ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายกลุ่มไปลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นได้ไม่โดดเด่น (Underperform) เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งส่วนหนึ่งคือกลุ่มโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นแนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) แต่ระยะยาวแนะนำ “ถือ” เพื่อรับปันผลจากรายได้ที่มั่นคง แต่ไม่แนะนำซื้อหุ้นเพิ่มเพราะโอกาสปรับขึ้นไม่มากเท่าหุ้นในกลุ่มเปิดเมืองตัวอื่นๆ