ฉาวอีก! แฉโหด "บ่อนกลางกรุง" ย่านเลียบด่วนฯ การ์ดคลุมถุงดำรีดนักพนัน 5 ล้าน
สุดอื้อฉาวอีก! แฉโหด "บ่อนกลางกรุง" ย่านเลียบด่วนฯ การ์ดคลุมถุงดำรีดนักพนัน 5 ล้าน ร้องเพจสายไหมฯถูกการ์ดบ่อนพนันย่านเลียบด่วนรามอินทรา อุ้มรีดเงินกว่า 5 ล้านบาท อ้างเหตุโกงพนันบ่อน เล่านาทีถูกรุมซ้อม อ้างเป็นคนมีสี ใช้ถุงดำคลุมหัว มือปิดจมูก-ปาก ซ้อมรีดเงิน จนต้องยอมบอกรหัสโอนเงินจากบัญชีกว่า 5 ล้านบาท ก่อนถูกนำไปทิ้งริมถนน ถ่ายบัตรประชาชน ขู่ฆ่า เหยื่อแจ้งความได้เงินคืนบางส่วน เตรียมนำข้อมูลร้อง ตร.
ฮอตอีกแล้ว "บ่อนกลางกรุง" ย่านเลียบด่วนฯ การ์ดคลุมถุงดำรีดนักพนัน 5 ล้าน ช่วงสายที่ผ่านมากลุ่มผู้เสียหายจำนวน 5 ราย เดินทางเข้าขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังกลุ่มผู้เสียหายถูกบ่อนดังย่านถนนเลียบทางด่วนประดิษฐ์มนูธรรมอุ้ม รีดเงินรวมแล้วกว่าห้าล้านบาท โดยอ้างว่ากลุ่มผู้เสียหายโกงการเล่นเสือมังกรทำให้บ่อนเสียเงิน
โดยตัวแทนผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะนั้นตนเองและกลุ่มเพื่อนได้เข้าไปเล่นที่บ่อนดังกล่าวในช่วงเวลา 16.00 น. โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเข้าไปเล่นมาแล้ว 2 วัน โดยครั้งล่าสุุด เมื่อเล่นไปได้สักพักจนถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ตัวแทนของบ่อนได้มีการเรียกกลุ่มของตนขึ้นไปบริเวณชั้นสองของอาคาร โดยกล่าวหาว่ากลุ่มพวกตนโกงการเล่นเสือมังกรทำให้บ่อนสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก
ตัวแทนคนเดิมบอกอีกว่า ตอนที่เรียกพวกตนไปนั้นประมาณ 3-4 ทุ่ม ตอนเกิดเหตุได้แอบใช้โทรศัพท์มือถือโทรแจ้งตำรวจผ่านสายด่วน 191 ก่อนที่จะมีตำรวจติดต่อกลับมาเพื่อสอบถามสถานที่ เมื่อตนได้แจ้งพิกัดไปและตำรวจแจ้งว่าเดินทางมาถึงตามจุดที่ผู้เสียหายได้แจ้งไว้ ตำรวจได้ถามย้ำว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นบ่อนการพนันไม่ใช่หรือ เมื่อทางกลุ่มผู้เสียหายยืนยันว่าใช่ ถูกคุมตัวอยู่ที่ชั้นสองของอาคาร ปรากฎว่าตำรวจปลายสายได้ตัดสายทิ้ง และไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย
ในเวลาต่อมามีคนของทางบ่อนเดินขึ้นมาหา และแจ้งว่ามีคนในกลุ่มผู้เสียหายโทรศัพท์แจ้งตำรวจ จากนั้นได้พากลุ่มตัวเองขึ้นรถตู้โดยอ้างว่าจะพาไปที่สน.แต่ปรากฏว่ามีการพา มาจอดพักรถไว้ที่ย่านถนนเลียบมอเตอร์เวย์ เป็นเวลานานร่วม 2 ชั่วโมง ซึ่งมารู้ภายหลังว่าที่ต้องพาออกมาก่อนเพราะมีตำรวจเข้าไปตรวจสอบบ่อนการพนันดังกล่าว
เมื่อตำรวจเข้าตรวจสอบ และออกจากบ่อนการพนันไปแล้ว กลุ่มการ์ดได้คุมตัวขึ้นรถตู้อีกครั้ง และพากลับมาที่บ่อนการพนันอีกครั้งตอนช่วงเวลาประมาณ เที่ยงคืน จากนั้นได้มีการแยกตัวออกไปทีละคน โดยทุกคนจะถูกทำร้ายร่างกายใช้ถุงดำคลุมหัว ใช้มือปิดจมูกและปาก รวมถึงซ้อมทำร้ายร่างกายเพื่อรีดเอาเงิน
"กลุ่มคนที่ทำร้ายอ้างตัวว่าเป็นทหาร ตอนที่ถูกซ้อมจะมีการถามตลอดว่ามีเงินเท่าไหร่ให้เอามาให้หมด กลุ่มคนดังกล่าวมีมากกว่า 10 คน สุดท้ายทนไม่ไหวทำให้ต้องยอมบอกรหัสโทรศัพท์เพื่อให้กลุ่มที่รุมทำร้ายกดโอนเงินออกจากบัญชีไปโดยรวมแล้วเป็นเงินจำนวนกว่า5 ล้านบาท เมื่อได้เงินตามต้องการ ได้นำตัวทั้งหมดขึ้นรถตู้และนำมาทิ้งไว้ที่บริเวณถนนสุขาภิบาล 5 ตอนช่วงเวลา 06.00 น. และข่มขู่ว่าหากมีการแจ้งความดำเนินคดี จะตามไปฆ่า และยังมีการถ่ายบัตรประชาชนของทุกคนไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ารู้ข้อมูลที่ อยู่ของผู้เสียหายทุกคน"
ในเวลาต่อมาประมาณช่วงเดือนกันยายน ได้มีหนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ แต่ตำรวจกลับให้แจ้งข้อหาทำให้เสียทรัพย์และมีการประสานไปที่ตัวแทนของบ่อนการพนันและมีการส่งบุคคลเข้ามาทำบันทึกต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่าจะคืนเงินตามจำนวนที่มีการเอาออกไปจากบัญชีของผู้เสียหายแต่สุดท้ายมีการคืนเงินมาเพียงจำนวน 500,000 บาทจากจำนวนเงิน ทั้งหมดกว่า 2 ล้านบาท ของผู้เสียหายรายนี้
"วันนี้ผู้เสียหายทั้งหมดจึงตัดสินใจรวมตัวกันเดินทางมาขอความช่วยเหลือต่อสายไหมต้องรอดเพื่อให้ติดตามเงินจำนวนดังกล่าวคืนเพราะ เงินจำนวนดังกล่าวที่ผู้เสียหายถูกบังคับให้โอนไปมีเงินส่วนตัวของกลุ่มผู้เสียหายรวมอยู่ด้วยทำให้ได้รับความเดือดร้อน"
นายเอกภพ ระบุว่า จากการได้พูดคุยกับทางผู้เสียหายทำให้ทราบว่าบ่อนการพนันดังกล่าวถือว่าเป็นบ่อนใหญ่ เพราะทราบว่ามีหลากหลายการเล่นการพนันทั้งเสือมังกร บาคาร่า กำถั่ว หลากหลายวงอยู่ในพื้นที่อาคารเดียวกันและมี คนเข้าไปเล่นจำนวนมากตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งการที่ตำรวจทราบว่าเป็นสถานที่เล่นการพนันแต่กลับไม่เข้าไปดำเนินการใดใดถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะผู้เสียหายมีการเข้าไปแจ้งความ
เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าต้องเข้าข่ายการปล้นทรัพย์เพราะมีผู้ก่อเหตุมากกว่า 10 คน แต่ตำรวจกลับให้แจ้งข้อหาทำให้เสียทรัพย์โดยแจ้งกับทางผู้เสียหายว่าการที่เสียเงินไปถือว่าเป็นการเสียทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นการจงใจแจ้งข้อหาที่ไม่ตรงกับการกระทำความผิด เพราะการปล้นทรัพย์ถือเป็นความผิดอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ แต่การทำให้เสียทรัพย์สามารถจบลงได้ด้วยการเจรจาคืนเงิน
“พฤติกรรมในการทำร้ายร่างกายที่ใช้ถุงดำคลุมหัวถือว่าเข้าข่ายพยายามฆ่า แต่กลับไม่มีการพูดถึงในประเด็นนี้ และนอกจากเงินที่บังคับโอนยังมีการนำทรัพย์สินอื่นๆเช่นโทรศัพท์มือถือและสร้อยทองต่างๆ ไปและไม่มีการคืน และไม่มีการพูดถึงในการลงบันทึกประจำวันอีกด้วย”
โดยหลังจากได้รับการประสานในวันนี้จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าวทั้งหมดและประสานขอความช่วยเหลือไปที่ผู้บังคับบัญชาระดับผู้บังคับการเจ้าของพื้นที่ เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีนี้