พลิกไม่พลิก! ดาราไต้หวันแฉเจอไถเงิน อัปเดตคดี ท้าเปิดภาพวงจรปิด
ความจริงก็คือความจริงพลิกไม่พลิก! ดาราไต้หวันแฉเจอไถเงิน อัปเดตคดีใกล้จบแล้ว ตำรวจนครบาลเร่งสอบสวนจะสรุปวันนี้ ด้านสาวไต้หวันท้าเปิดภาพวงจรปิด โวยถูกกลายเป็นเป้า-คุกคาม
กรณี ดาราไต้หวันแฉเจอไถเงิน สำหรับความเคลื่อนไหวของสาวไต้หวัน หลังโพสต์ข้อความระบุถูกตำรวจไทยรีดไถเงินนั้น ล่าสุดช่วงเที่ยงที่ผ่านมา “ดาราสาวชาวไต้หวัน” เธอได้โพสต์สตอรี่ผ่านไอจีส่วนตัว โดยภาพแรกเป็นการแชร์ภาพข่าวของตัวเอง ซึ่งเธอยืนยันว่า “เธอไม่ได้ดื่มเลย”
พร้อมชี้แจงเป็นข้อความภาษาจีนอีกว่า “ฉันจะบอกทุกคน หลังจากที่ฉันได้คุยกับตำรวจอินเตอร์โพลเสร็จแล้ว /ตอนนี้ตำรวจไทยที่ไม่ใสสะอาด ต้องการใช้ฉันเพื่อให้พวกเขาบริสุทธิ์ เพราะมันขัดผลประโยชน์ของพวกเขา? เลิกพูดจาไร้สาระเถอะ!”
ส่วนภาพที่ 2 นั้น เป็นข้อความภาษาจีนอีกมีเนื้อหาใจความว่า “วันนั้นถนน 4 เลนถูกปิดหมดและไม่ได้มีแค่ตำรวจแค่ 7 นาย ฉันจำคนที่รีดเงินฉันได้ชัดเจน เขาบอกหรอว่าไม่มีการซุ่มตรวจในวันนั้น แล้วก็ได้ไม่ได้เอาเงินไป? แล้วทำไมถึงไม่เอาภาพจากกล้อง CCTV มาเปิดให้ดูละ? แล้วก็ยังมาพูดจาไร้สาระแบบนี้ เอาฉันมาเป็นเป้าแบบนี้ แล้วก็ยัดของกลางใส่ฉัน? ฉันรู้สึกถูกคุกคามนิดหน่อยนะ เพราะมีคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นตำรวจหลายคนมาก มาติดต่อฉันก็เลยหัวเสียนิดหน่อย” (แปลโพสต์สตอรี่ สาวไต้หวัน)
คาดไม่เกิน2วันได้ข้อเท็จจริง เดินหน้า 80 เปอร์เซ็นต์ ค่ำวันนี้มีความชัดเจน
ที่ สน.ห้วยขวาง พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้ากรณีดาราสาวชาวไต้หวันอ้างถูกตำรวจตั้งด่านรีดทรัพย์ 27,000 บาท โดยประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง
ภายหลังประชุมเสร็จสิ้น พล.ต.ต.อัฏธพร เปิดเผยว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ และตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้เร่งรัดทำความจริงให้ปรากฎ แต่จะต้องอยู่บนหลักการของนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก รวมถึงรวบรวมข้อมูลจากพยานแวดล้อมด้วย ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 1-2 วัน ข้อเท็จจริงจะกระจ่าง
“ขณะนี้ ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้แก่ กล้องวงจรปิด นำมาเชื่อมโยงข้อมูลกันกับข้อมูลคำบอกเล่าจากพยาน ซึ่งดำเนินการไปได้กว่า 80% แล้ว”
ในส่วนของพยานแวดล้อม คือ รถสาธารณะ จะมี 2 ส่วน คือ รถ Grab มาสด้า ที่ขับพาดาราสาวเข้ามาในจุดเกิดเหตุ ซึ่งได้เรียกตัวคนขับมาให้ข้อมูลแล้ว อีกส่วนคือ คนขับแท็กซี่ ที่รับดาราสาวออกจากจุดเกิดเหตุไป ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามเชิญตัวมาให้ข้อมูล เพื่อนำข้อมูลมาเชื่อมโยงกันกับข้อมูลที่ได้จากตำรวจในจุดเกิดเหตุด้วย
สำหรับตัวของดาราสาวคนดังกล่าว เป็นการประสานงานติดต่อโดยโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะมีการส่งต่อข้อมูลมาที่ สน.ห้วยขวาง เพื่อประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เมื่อข้อมูลสมบูรณ์ ก็จะแถลงข่าวให้ชัดเจนอีกครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการเรียกรับเงิน ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ระบุว่า ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และเมื่อถามต่อว่า คดีนี้จะพลิกหรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวว่า ให้รอความคืบหน้า ตำรวจกำลังเร่งหาพยานหลักฐาน วันนี้ค่ำๆ อาจจะชัดเจนขี้น
ประสานภาพวงจรปิดสถานทูตจีน-โชเฟอร์แท็กซี่เข้าให้ปากคำแล้ว
ตำรวจยังเร่งหาเบาะแสความคืบหน้าคดีสาวไต้หวัน โพสต์ข้อความระบุถูกตำรวจไทยรีดไถ โดยล่าสุดมีรายงานว่า ตำรวจได้ตรวจสอบภาพวงจรปิด ซึ่งเป็นกล้องของกทม. ที่อยู่บริเวณด้านหน้าสถานทูตจีนและกล้องจราจร บริเวณสะพานลอยปากซอยรัชดาภิเษก 3 ซึ่งเป็นภาพระยะไกล
จากภาพที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดของจราจรที่เป็นภาพระยะไกล พบว่ามีกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม จำนวน 4-5 คน กำลังพูดคุยกับทางตำรวจสน.ห้วยขวางที่ตั้งด่านอยู่ในภาพนักท่องเที่ยวลักษณะเดินวนไปวนมา มีการพูดจาโต้เถียงกับทางตำรวจที่ตั้งด่าน แต่ในภาพไม่ปรากฎมีการนำพากลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในซอยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางด้านสน.ห้วยขวางได้มีการทำหนังสือขอภาพกล้องวงจรปิดจากสถานทูตจีน อยู่ระหว่างการรอติดต่อกลับ นอกจากนี้ยังได้มีการนำตัวพยาน ซึ่งเป็นคนขับแกรป รับกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวสอบปากคำเบื้องต้นแล้ว
โดยพยานรายนี้ อาชีพโชเฟอร์แท็กซี่ ได้เล่าเหตุการณ์ในคืนวันเกิดเหตุระบุว่า ตนจำเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุได้ โดยมีการเรียกรถผ่านระบบให้มารับที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ให้ไปส่งปลายทางโรงแรมแห่งหนึ่งย่านรัชดา โดยเรียกมา 2 คัน แต่คันที่ีตัวเองขับมาถึงก่อน จึงรับนักท่องเที่ยวทั้งหมด ประมาณ 4-5 คนโดยนักท่องเที่ยวผู้ชายนั่งด้านหน้ากับตน ส่วนด้านหลังเป็นผู้ชายกับผู้หญิง
“ผมจำผู้หญิงตามภาพที่ปรากฎเป็นข่าวได้ ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้านหลังรถ เขาแสดงอาการพูดจาโวยวายกับเพื่อนที่เป็นผู้ชายในรถตลอดเวลา ลักษณะท่าทางชัดเจนว่ามีการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด ผมมั่นใจ การคุยกันในรถเท่าที่จำได้เป็นการพูดภาษาจีน มีคนเดียวที่นั่งด้านหน้ากับผมที่พอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง”
พยานรายนี้บอกอีกว่า เมื่อรถวิ่งผ่านด่านที่บริเวณสถานทูตจีน ซึ่งด่านตรงนี้ถือเป็นด่านปกติที่ตนขับรถผ่านในเส้นทางนี้เป็นประจำจะต้องถูกเรียกตรวจทุกครั้ง เป็นการตรวจปกติของตำรวจอยู่แล้ว
“ตำรวจเรียกตรวจ นักท่องเที่ยวทั้งหมดลงไป แต่ผมนั่งอยู่ในรถ ตำรวจเขาก็เรียกตรวจน้ำเสียงปกติว่า ”Police Check“ มีการขอเรียกดูพาสปอร์ต แต่ปรากฎว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวแสดงอาการโวยวายเห็นได้ชัด โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้หญิง ผมนั่งรออยู่สักพัก ตำรวจเข้ามาถามว่าจะรอรับไหม ซึ่งตามปกติต้องส่งงานให้จบถึงจะปิดงานได้ แต่ตอนที่เขาขึ้นมาได้จ่ายค่าโดยสารให้แล้วในราคา 80 บาท”
หนุ่มขับแกร็บเครียด รับสาวไต้หวันพบ ตร.
ตำรวจยังเร่งหาเบาะแสความคืบหน้าคดีสาวไต้หวัน โพสต์ข้อความระบุถูกตำรวจไทยรีดไถ โดยล่าสุด ชายขับรถมาสด้า 2 สีแดง ซึ่งปรากฎในวงจรปิด ว่าเป็นรถที่กลุ่มนักท่องเที่ยวของสาวไต้หวันโดยสารมา ก่อนที่จะเจอด่านตรวจของตำรวจ สน.ห้วยขวาง ได้เดินทางมาเข้าพบ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เพื่อสอบปากคำกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเจ้าตัวมีสีหน้าที่ค่อนข้างเครียด และไม่ตอบคำถามใดๆกับสื่อมวลชน
"บิ๊กโจ๊ก" ย้ำคดีดาราไต้หวัน ใครผิดให้เตรียมรับโทษ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยในกรณีดังกล่าวว่า ได้สั่งการ พ.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ผกก.สส.บก.น.1 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งกรณีของดาราสาวไต้หวันนี้จะต้องทำความจริงให้ปรากฎ
หากตรวจสอบแล้วพบว่า ตำรวจมีการเรียกรับเงินจริง ถือเป็นความผิด ก็ต้องโทษคดีอาญา แต่หากไม่เป็นความจริงผู้แจ้งก็จะถูกตั้งข้อหา แจ้งความเท็จ เพราะสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศเป็นอย่างมาก และถึงแม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศ ตำรวจก็สามารถขอหมายจับ พร้อมประสานความร่วมมือกับสถานทูต หรือ สถานกงศุล ในการพาตัวมาดำเนินคดี
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ในการทำคดี หากตรวจสอบกล้องวงจรปิด และเช็คตารางการเข้าเวรของตำรวจ ก็ทราบแล้วว่า วันดังกล่าวมีใครเข้าเวรบ้าง และหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ก็จะถูกลงโทษทางอาญาอย่างไม่มีละเว้น อีกทั้ง ยังต้องตรวจสอบด้วยว่าเหตุใดจึงปล่อยนักท่องเที่ยวไป เช่น กรณีไม่มีวีซ่า รวมถึงการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศ หากมีการปล่อยไปจริงก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน รวมถึงหากอ้างว่าด่านใกล้เลิก จึงผ่อนผันไม่มีการจับกุมก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะตำรวจ 1 คน หากพบการกระทำผิด ต้องปฏิบัติหน้าที่ จะละเว้นการปฏิบัติไม่ได้ ในฐานะผู้บังคับบัญชาการกล่าวอ้างแบบนี้ ฟังไม่ขึ้น
สำหรับคดีนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นการทำงานของตำรวจ ก็ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันมีข่าวเชิงลบกับวงการตำรวจมาก คนส่วนน้อยที่กระทำผิดสร้างความเสียหายให้คนส่วนใหญ่ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากพบการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ จะต้องลงทัณฑ์ขั้นเด็ดขาด และในคดีนี้หากตรวจสอบแล้วไม่ว่าฝ่ายใดกระทำความผิด ก็จะต้องลงโทษตามกฎหมายโดยทันที